ช่วงนี้เป็นช่วงที่สำนักเลขานุการแอปเตอร์ได้ต้อนรับผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นประจำแอปเตอร์คนใหม่ หลังจากที่คนเก่าได้หมดวาระ และกลับบ้านไปทำงานในสถานที่ดั้งเดิม คือ กระทรวงเกษตรฯ ในกรุงโตเกียว ผมเคยเล่าให้ฟังมาแล้วว่า ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นที่ส่งมาประจำแอปเตอร์มีวาระดำรงตำแหน่งคราวละ 2 ปี เท่าที่ผมสังเกตเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นที่ส่งไปประจำต่างประเทศที่ไม่ใช่โดยตรงจากกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น จะมีวาระการทำงาน 2 ปี เท่าๆ กันเกือบทุกคน ที่แอฟซิส ที่อยู่ใกล้ๆ กัน ก็มีผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นมาประจำอยู่ 1 คนเช่นกันมีวาระ 2 ปีเท่ากัน ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ การเดินทางไปกลับของพวกเขาดูค่อนข้างอลหม่านพอควรทีเดียว เพราะต้องมีการเตรียมการมากมาย ขากลับคงไม่ยุ่งยากเท่ากับขามาเมืองไทย เพราะต้องเตรียมการหาที่พักไว้ด้วยก่อน ยิ่งถ้าบางคนมาพร้อมกับครอบครัว และมีลูกๆ ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ด้วย ก็ต้องเตรียมโรงเรียนให้อีก ซึ่งแน่ละ ต้องเป็นโรงเรียนแบบนานาชาติ แต่จะว่าไปก็คงไม่น่าจะแตกต่างจากการที่เจ้าหน้าที่คนไทยที่ถูกส่งไปทำงานประจำในต่างประเทศเช่นเดียวกัน ช่วงนี้มีความยุ่งยากเพิ่มมากขึ้นอีกนิด คือ ต้องมีการกักตัวก่อน 2 สัปดาห์ ตามมาตรการโควิดอีก สำหรับคนที่จะมาใหม่ ต้องเข้าพักพร้อมกับครอบครัวในโรงแรม ห้ามออกไปไหน แล้วหลังจากนั้นจึงจะต้องหาอพาร์ทเมนท์ ที่พักถาวรก่อนจะย้ายเขาไปอยู่อีก
การจัดการเรื่อง Relocation ของผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นนี้ โชคดีที่ทางแอปเตอร์เรามีเจ้าหน้าที่เลขานุการประจำตัวผู้เชี่ยวชาญเขาอยู่ 1 คน ได้น้องเขาช่วยนับว่าได้ประโยชน์มาก ถ้าไม่งั้นคงยุ่งยากมากขึ้น เพราะมีประเด็นที่ทำเยอะมาก ข้อเท็จจริงจากตัวอย่างของผู้เชี่ยวชาญคนใหม่ที่มา ผมก็สงสัยว่า ทำไมหลังจาก 2 สัปดาห์ที่พักในโรงแรมกักตัว เขาพร้อมครอบครัวต้องไปหาโรงแรมใหม่อยู่อีก ก่อนเข้าอพาร์ทเมนท์ถาวรคือ ความจริงควรจะเป็นว่าจากโรงแรมกักตัวก็เข้าอพาร์ทเมนท์ได้เลย แต่ได้รับการชี้แจงว่า ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นต้องการไปเห็นไปพิจารณาสภาพของอพาร์ทเมนท์ก่อน
ส่วนคนที่กลับไปญี่ปุ่น ก็มาเล่ากับผมว่าคงจะมีปัญหาอีก เพราะต้องไปกักตัวอยู่แต่ในบ้านตนเองเป็นเวลา 2 สัปดาห์เช่นเดียวกัน ก่อนที่จะออกไปเริ่มต้นทำงานที่กระทรวงเกษตรฯ บอกว่าแกจะกินอาหารอย่างไร เพราะจะให้คนซื้อมาให้ทุกวันคงไม่ได้ ซื้อมาตุนไว้ก็คงไม่ครบ 2 สัปดาห์ ผมเสนอว่าลองสั่งแกร็บ หรือไลน์แมนดูสิ เขาก็บอกว่า คงไม่มีใครกล้ามาส่ง ขนาดนั้นเชียว ที่สำคัญที่ผมคิดไม่ถึง คือ แล้วพวกขยะแกจะเอาไปทิ้งที่ไหน เพราะที่ญี่ปุ่นต้องทิ้งเป็นที่เป็นทางและเป็นเวลา ครั้นจะแอบออกไปทิ้งเกรงว่าจะถูกจับปรับ อีกทั้งเพื่อนบ้านใกล้เคียงกันคงเห็นและจะพากันแตกตื่น
คนญี่ปุ่นที่ได้รับมอบหมายให้มาทำงานหรือภารกิจในประเทศไทยเกือบทุกคนเปรียบเสมือนได้มาเมืองสวรรค์อย่างไงอย่างนั้น แม้ประเทศไทยจะมีอะไรๆ หลายอย่างที่สู้ญี่ปุ่นไม่ได้ ปัจจุบันมีคนญี่ปุ่นอาศัย หรือทำงานในประเทศไทยหลายหมื่นคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเอกชน บริษัท ห้างร้านต่างๆ จนถึงกับมีหนังสือพิมพ์ภาษาญี่ปุ่นขายในกรุงเทพฯ มีร้านซูเปอร์มาร์เก็ตอาหารญี่ปุ่นโดยเฉพาะเมื่อยี่สิบปีก่อนกลับจากญี่ปุ่นผมเคยซื้อก้อนมิโซะมาทำซุป เพราะหาไม่ได้ในประเทศไทย แต่เดี๋ยวนี้มีหมดทุกอย่างขอให้ไปหาแถวพร้อมพงษ์ นานา เอกมัย สุขุมวิทเถอะ และสิ่งหนึ่งเมื่อมาอยู่เมืองไทยที่คนญี่ปุ่นขาดไม่ได้ คือ การเล่นกอล์ฟ คนที่เล่นเป็นมาก่อน จะใช้ชีวิตวันหยุดอยู่แต่ในสนามกอล์ฟ คนที่ไม่เคยเล่น เมื่อมาถึงก็จะมีคนแนะนำให้เล่น โดยเริ่มจากไปเข้าคอร์สสอนเล่นกอล์ฟก่อน มีโปรคนญี่ปุ่นพูดสอนเป็นภาษาญี่ปุ่นให้ด้วย (แต่คงแพงไม่ใช่เล่น) จากนั้นก็จะเข้าร่วมเล่นกอล์ฟอย่างเป็นงานเป็นการในวันหยุดต่างๆ ฉะนั้นการหมดเทอมที่จะอยู่ทำงานต่อในประเทศไทย จึงถือว่าเป็นเรื่องของ “สวรรค์ปิด” อย่างแท้จริง
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี