นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการ การยางแห่งประเทศไทย(กยท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์ราคาไม้ยางพารามีแนวโน้มราคาที่ดีตามลำดับ ล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน 2564 ที่ผ่านมา ราคาประมาณ 42,177 บาทต่อไร่ ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ราคาไม้ยางดังกล่าว และเป็นการเพิ่มโอกาสให้เกษตรกรชาวสวนยางมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการโค่นไม้ยางพารา กยท.จึงได้ออกประกาศ เรื่อง การอนุญาตให้เจ้าของสวนยางโค่นต้นยางพาราก่อนได้รับอนุมัติการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกแทน พ.ศ. 2564 ซึ่งเป็นการปรับหลักเกณฑ์ใหม่มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป
สำหรับการปรับหลักเกณฑ์ใหม่ตามประกาศของ กยท.ดังกล่าว จะมีขั้นตอนที่แตกต่างจากเดิม และง่ายต่อการปฏิบัติคือ กำหนดให้เกษตรกรเจ้าของสวนยางห้ามโค่นยางก่อนได้รับอนุมัติ โดยเกษตรกรเจ้าของสวนยางที่มีความประสงค์จะโค่นต้นยางจะต้องยื่นคำร้องรับการปลูกแทนที่การยางแห่งประเทศไทยจังหวัด หรือการยางแห่งประเทศไทยสาขาที่สวนยางของเกษตรกรตั้งอยู่ ซึ่ง กยท.จะจัดคำขอการปลูกแทนเรียงตามลำดับก่อนหลังไว้เป็นรายปี ในแต่ละปีเจ้าของสวนยางจะได้รับการปลูกแทนมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรร
“หลังจากที่ กยท. ได้รับคำร้องแล้ว จะมีการจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกไปทำการสำรวจรังวัด เพื่อตรวจสภาพพื้นที่แปลงปลูก หากสวนยางเข้าหลักเกณฑ์ ตามมาตรา 4 มาตรา 37 พระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 และระเบียบการยางแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกแทน พ.ศ. 2558 ที่กำหนดให้เกษตรกรที่จะรับการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกแทน จะต้องเป็นเกษตรกรชาวสวนยางที่มีต้นยางอายุกว่า 25 ปีขึ้นไป หรือต้นยางทรุดโทรมเสียหาย หรือต้นยางได้ผลน้อย ตามหลักเกณฑ์ที่ กยท. กําหนด จึงจะอนุญาตให้โค่นต้นยางได้” ผู้ว่าการ กยท.กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อเกษตรกรเจ้าของสวนยางโค่นต้นยางแล้วมี 2 ทางเลือกที่จะดำเนินการคือ 1. กรณีเจ้าของสวนยางที่รอการปลูกยางหรือไม้ยืนต้นไปถึงปีที่ได้รับอนุมัติให้การปลูกแทน กรณีนี้เจ้าของสวนยางจะได้รับเงินสนับสนุนการปลูกแทนตามปกติ คืออัตราไร่ละ 16,000 บาท และ2. กรณีเจ้าของสวนยางต้องการใช้ประโยชน์ของที่ดินเพื่อการอื่นไปก่อน เช่น ปลูกพืชล้มลุกพืชระยะสั้น การทำสวนยางแบบผสมผสาน เป็นต้น ก็สามารถกระทำได้ กยท. จะให้การสนับสนุนทางด้านอาชีพเสริมและให้บริการทางด้านวิชาการ เมื่อถึงกำหนดเวลาที่ได้รับอนุมัติการปลูกแทนในปีใด เจ้าของสวนยางก็จะได้รับเงินสนับสนุนการปลูกแทนตามปกติคืออัตราไร่ละ 16,000 บาทเช่นกัน
ผู้ว่าการ กยท.กล่าวต่อว่า ในปี 2564 มีเกษตรกรชาวสวนยางต้องการโค่นต้นยางพาราถึง 470,000ไร่ มากกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 70,000ไร่ ซึ่งหากเกินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรไว้ในปีนี้เกษตรกรชาวสวนยางจะได้รับเงินสนับสนุนการปลูกแทนในปีงบประมาณ 2565 สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ยางพารา 20 ปี กำหนดที่จะลดพื้นที่ปลูกยางพาราให้เหลือประมาณ 18.4 ล้านไร่ภายในปี 2579 กยท.จึงได้ขยายเป้าหมายในการลดพื้นที่ปลูกยางจากเดิม 200,000 ไร่ต่อปีเป็น 400,000 ไร่ต่อปี เพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับราคายางพารา และให้ปริมาณไม้ยางมีเพียงพอต่อความต้องการใช้ทั้งในส่วนของไม้ยางและไม้วู้ดพาเลท
“การปรับหลักเกณฑ์ดังกล่าว นอกจากจะเพิ่มโอกาสให้เกษตรกรชาวสวนยางมีรายได้มากขึ้นจากการโค่นไม้ยางพาราแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบกิจการไม้ยางพาราให้มีวัตถุดิบไม้ยางเพียงพอสำหรับแปรรูปไม้ในสถานการณ์ที่ตลาดมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่ง กยท.ได้คาดการณ์ว่า ในช่วงปี 2564-2565 อุตสาหกรรมไม้ยางพาราจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นมากกว่า 10% เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกใหญ่ของไทย ส่งผลให้มีความต้องการใช้ไม้ยางมากขึ้น ราคาจึงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง กยท.นโยบายที่ผลักดันให้อุตสาหกรรมไม้ยาง
ของไทยให้เติบโตและเข้มแข็ง เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมยางพาราอื่นๆ จึงได้ดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง วงเงินสินเชื่อ 25,000 ล้านบาท ที่มีเป้าหมายสนับสนุนผู้ประกอบกิจการยาง ขั้นปลายน้ำ
รวมถึงกิจการไม้ยางพาราด้วย ในการขยายกำลังการผลิต ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรการผลิต ซึ่งโครงการจะหมดเขตในเดือนธันวาคม 2564 นี้” ผู้ว่าการ กยท. กล่าวในตอนท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี