สทนช.แจงการขับเคลื่อนแผนแม่บทฯน้ำ 20 ปีมีผลงานการันตี ประชาชนได้ประโยชน์กว่า 2 ล้านครัวเรือน นำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในการจัดแผนงานและโครงการต่างๆ โปร่งใสตรวจสอบได้ ยืนยัน EEC มีความมั่นคงด้านน้ำและพร้อมเร่งผลักดันการทำงานในรูปแบบคณะทำงานและคณะอนุกรรมการ
ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ชี้แจงว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับนโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ และกำหนดให้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเป็นนโยบายเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ โดยมี สทนช.ในฐานะหน่วยงานหลักที่กำกับดูแลด้านการบริหารจัดทรัพยากรน้ำทำหน้าที่บูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศ และได้ขับเคลื่อนการดำเนินการจนมีผลงานความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดทำแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ที่สอดคล้องตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 และแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี(พ.ศ.2561-2580) ในปัจจุบัน สามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยดำเนินการผ่านกลไกของ คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(กนช.) คณะกรรมการลุ่มน้ำ และคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด ทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ โดยมีผู้แทนส่วนราชการและท้องถิ่น ผู้ใช้น้ำภาคต่างๆ และผู้ทรงคุณวุฒิในพื้นที่ ทำให้ภาคประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมและเสนอแนะข้อคิดเห็นในกระบวนการจัดทำแผนงาน/โครงการ มีการบูรณาการ วิเคราะห์ ตรวจสอบ และกลั่นกรองแผนงาน/โครงการงบประมาณด้านน้ำจะถูกใช้อย่างคุ้มค่าตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ สทนช.ยังได้นำเทคโนโลยีใหม่ พัฒนาระบบ Application “Thai Water Plan” มาใช้ในการตรวจสอบแผนงาน/โครงการ ในลักษณะ One Plan ทำให้ทุกหน่วยงานจะมีแผนงานด้านทรัพยากรน้ำที่เป็นหนึ่งเดียวกัน สามารถตรวจสอบ กลั่นกรอง วิเคราะห์ ข้อมูลแผนงาน/โครงการได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น มีความโปร่งใส สามารถลดการทำงานที่ซ้ำซ้อนและใช้งบประมาณได้อย่างคุ้มค่าสูงสุด นอกจากนั้น ปัจจุบัน สทนช. อยู่ในระหว่างดำเนินการจัดทำแผนแม่บทลุ่มน้ำทั้ง 22 ลุ่มน้ำใหม่ เพื่อเตรียมนำเสนอต่อคณะกรรมการลุ่มน้ำชุดใหม่ คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี 2564 นี้ และจะได้นำเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) พิจารณาต่อไป
เลขาธิการ สทนช. กล่าวต่อว่า สำหรับผลการดำเนินงานโครงการด้านน้ำตามแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปีมีผลสัมฤทธิ์ตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบันสามารถพัฒนาแหล่งน้ำเพิ่มปริมาณการเก็บกักน้ำได้ถึง 1,139.84 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) มีพื้นที่รับประโยชน์ 2.52 ล้านไร่ โดยเป็นพื้นที่ชลประทานมากกว่า 1.42 ล้านไร่ และประชาชนได้รับประโยชน์ 2.27 ล้านครัวเรือน รวมทั้งยังสามารถลดความเสียหายจากภัยทางน้ำ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภัยแล้งหรือน้ำท่วม ลดความเสียหายคิดเป็นมูลค่าหลายร้อยล้านบาท ในส่วนการสร้างความมั่นคงด้านน้ำให้กับพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(EEC) เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ซึ่ง สทนช.ได้ศึกษาความต้องการใช้น้ำของ EEC ในช่วงระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2580) พบว่า ในปี 2560 มีน้ำต้นทุน 2,539 ล้าน ลบ.ม. ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำอยู่ที่ 2,419 ล้าน ลบ.ม.และจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,888 ล้าน ลบ.ม. และ 3,089 ล้าน ลบ.ม. ในปี 2570 และปี 2580 ตามลำดับ
“สทนช.ได้เสนอ กนช. เพื่อขับเคลื่อนโครงการพัฒนาแหล่งน้ำและการจัดการทรัพยากรน้ำรองรับ EEC(ปี 2563-2580) รวมจำนวนทั้งสิ้น 38 โครงการ วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 52,881.47 ล้านบาท มีปริมาณน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้น 872.19 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งจะเพียงพอต่อการรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ EEC โดยในปี 2564 จะได้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 2.44 ล้าน ลบ.ม. ปี 2567 จะได้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น151.20 ล้าน ลบ.ม. ปี 2569 ได้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นอีก 183.50 ล้าน ลบ.ม. และปี 2573 จะได้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 426 ล้าน ลบ.ม. ดังนั้นขอให้มั่นใจได้ว่าในพื้นที่ EEC จะมีความมั่นคงในเรื่องน้ำอย่างแน่นอน” เลขาธิการ สทนช. กล่าว
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าการทำงานของ สทนช. ในปัจจุบันมีข้อจำกัดในเรื่องของจำนวนเจ้าหน้าที่ ในขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านน้ำมากถึง 53 หน่วยงาน จาก 13 กระทรวง รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อีก 7,850 แห่ง ที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำงานเชิงบูรณาการ อาศัยกลไกการทำงานเป็นคณะทำงานและคณะอนุกรรมการ ที่มาจากผู้แทนจากทุกภาคส่วนและผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งจำเป็นจะต้องมีหลายคณะ เนื่องจากปัญหาด้านน้ำนอกจากเรื่องการพัฒนาอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ การบริหารจัดการ และด้านเทคนิควิชาการแล้ว ยังมีอีกหลายมิติที่เกี่ยวข้อง จึงจำเป็นต้องมีคณะทำงานและคณะอนุกรรมการเพื่อให้ความเห็นและข้อมูลที่มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการบูรณาการจากหลายภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน เข้ามามีส่วนร่วม
“ในปัจจุบันการบริหารจัดการน้ำตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 จะแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับชาติ (กนช.) ระดับลุ่มน้ำ(คณะกรรมการลุ่มน้ำ) และระดับพื้นที่ในเขตลุ่มน้ำ(องค์กรผู้ใช้น้ำ) มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วม เป็นการสื่อสารแบบ 2 ทาง เป็นการสะท้อนปัญหา ความต้องการ และการเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาจากระดับพื้นที่สู่การกำหนดแผนงาน/โครงการ และผลักดันเป็นนโยบายเพื่อขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม”ดร.สมเกียรติ กล่าวสรุปในตอนท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี