นายดำรงค์ จิระสุทัศน์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ชี้แจงเกี่ยวกับกรณีการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูผลผลิตเกษตรโดยการใช้สารรมเมทิลโบรไมด์และฟอสฟินเป็นสารที่ใช้กันอย่างกว้างขวางทั่วโลก เนื่องจากสามารถทำลายแมลงศัตรูได้ทุกชนิดและทุกระยะการเจริญเติบโต ไม่มีพิษตกค้าง เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้สารฆ่าแมลง ทั้งนี้ การรมสารกำจัดศัตรูพืช เป็นวิธีการเพื่อลดการสูญเสียของผลผลิตทางการเกษตรหลังการเก็บเกี่ยว และเพิ่มมูลค่าของสินค้า ซึ่งวิธีการรมไม่ยุ่งยากซับซ้อนมากนัก จึงง่ายต่อการปฏิบัติและทำได้สะดวกและรวดเร็ว แต่ต้องดำเนินการอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการที่กำหนด ที่สำคัญ คือ ทุกประเทศทั่วโลกก็ใช้สารทั้ง 2 ชนิดนี้ เป็นมาตรฐาน SPS และได้รับการกำหนดให้ใช้กำจัดแมลงศัตรูพืชภายในโรงเก็บจากคณะอนุกรรมการด้านสุขอนามัยขององค์การค้าโลก (WTO)

สำหรับสินค้าที่ผ่านการรมแล้ว กรมวิชาการเกษตรได้ร่วมกับผู้ควบคุมการรมยา ได้เก็บตัวอย่างเพื่อตรวจสอบปริมาณสารตกค้างซึ่งจะต้องไม่มีหรือน้อยกว่าเกณฑ์ที่ Codex กำหนด คือ เมทิลโบรไมด์ อนุญาตให้ตกค้างได้ 5 มิลลิกรัมต่อหนึ่งกิโลกรัม หรือ ppm ฟอสฟิน อนุญาตให้ตกค้างได้ 0.1 ppm ซึ่งที่ผ่านมากรมวิชาการเกษตรยืนยันว่ามีการใช้สารรมเมทิลโบรไมด์และฟอสฟินทั้งในโกดังและเรือสินค้าถูกหลักเกณฑ์ตามมาตรฐานที่กำหนด และผลผลิตได้มาตรฐานและเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งข้าวสารที่ส่งออกและบริโภคภายในประเทศ จึงมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคอย่างแน่นอน

ประเทศไทยในฐานะผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก จึงถูกกำหนดมาตรการ SPS ให้รมข้าวก่อนส่งออกทุกครั้ง ข้าวไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ที่ผ่านมาตลอดระยะเวลากว่า 40 ปี ไม่เคยถูกแจ้งเตือนว่าพบการตกค้างของสารชนิดนี้ ทั้งๆ ที่ประเทศเหล่านี้ มีความเข้มงวดเรื่องสุขอนามัย จะมีการตรวจสารพิษตกค้างทุกตัวอย่างที่มีการนำเข้าประเทศ ฉะนั้น สำหรับประเด็นข่าวลือเรื่องสารพิษตกค้างในข้าวสารที่ผู้บริโภคกำลังให้ความสนใจในขณะนี้ ขอยืนยันให้มั่นใจว่าข้าวทุกเมล็ด มีความปลอดภัยจากสารที่ใช้รมอย่างแน่นอน เพราะกรมวิชาการเกษตรมีการตรวจติดตามตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค กรมวิชาการเกษตรได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เก็บตัวอย่างข้าวถุงทุกตราทุกบริษัทจากห้างค้าปลีกและร้านสะดวกซื้อทั้งหมด มาตรวจวิเคราะห์หาสารพิษตกค้าง ซึ่งผลการวิเคราะห์ไม่พบสารพิษตกค้างใดๆทั้งสิ้น