เปิดผลคาดการณ์‘ล็อกดาวน์’ สธ.ขอร่วมมือเข้ม 2 สัปดาห์ เวลาทองกู้วิกฤตโควิด
2 สิงหาคม 2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (ปลัด สธ.) พร้อมด้วย นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงผลการใช้มาตรการล็อกดาวน์ ในประเทศไทย และการวิเคราะห์สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : สธ.ชี้‘เดลต้า’แรงขึ้น 3 เท่า แจงปมร้านอาหารในห้าง ทำไมต้องผ่าน‘เดลิเวอรี’เท่านั้น)
นพ.เกียรติภูมิ แถลงผลจากการล็อกดาวน์ ว่า สถานการณ์ทั่วโลกมีการติดเชื้อโควิด 19 สะสม 199 ล้านคน ถือเป็นช่วงขาขึ้นจากการระบาดของสายพันธุ์เดลต้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากที่ก่อนหน้านี้ทั่วโลกชะลอการระบาดไป แต่ช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมามีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นประมาณ 4-6 แสนรายต่อวัน เสียชีวิตสะสม 4.24 ล้านคน คิดเป็น 2.13%
สำหรับประเทศไทยติดเชื้อใหม่วันนี้ 17,970 ราย รักษาหาย 13,919 ราย อยู่ระหว่างรักษา 208,875 ราย และเสียชีวิต 178 ผู้ป่วยใหม่ยังเพิ่มขึ้น จากการคาดการณ์การติดเชื้อและเสียชีวิตหลังดำเนินการล็อกดาวน์ พบว่า ตัวเลขสถานการณ์จริงทั้งการติดเชื้อและเสียชีวิตใกล้เคียงตัวเลขคาดการณ์ประสิทธิภาพการล็อกดาวน์ 20% อย่างไรก็ตาม หากเพิ่มประสิทธิภาพการล็อกดาวน์เป็น 25% ร่วมกับการฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ จะทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตลดลงค่อนข้างมาก ดังนั้น การเพิ่มประสิทธิภาพแค่ 5% ก็จะมีผลอย่างมาก ขณะนี้เราจึงต้องร่วมกันควบคุมการติดเชื้อ ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนช่วยกันล็อกดาวน์ให้ถึง 25% ทั้งเรื่องของงดการเดินทาง การไปพบปะ การดูแลตนเองที่ต้องทำเข้มขึ้น จะทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อและเสียชีวิตจะลดลงรวดเร็วเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือ CDC สหรัฐ พบว่า โควิดเป็นสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งผู้ป่วย 469 รายพบว่า 74% หรือ 346 ราย ของผู้ติดเชื้อฉีดวัคซีนครบโดสแล้วเป็นสายพันธุ์เดลต้า 90% ดังนั้นการป้องกันตัวเองจึงยังสำคัญ ทั้งสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง เป็นต้น
“ทุกมาตรการที่รัฐบาลออกไปเป็นการขอความร่วมมือ ยังไม่ได้ใช้มาตรการทางกฎหมาย คนไทยต้องแสดงให้เห็นว่าภาวะวิกฤต ความร่วมมือมีค่ามากที่สุดในการลดการติดเชื้อ ขอให้กลับไปนึกถึงตอน เม.ย.ปีที่แล้ว อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อทุกคนไม่ติดโรค ไม่แพร่กระจายโรคต่อไป จึงขออีก 2 สัปดาห์ หลังล็อกดาวน์จาก 13 จังหวัดเป็น 29 จังหวัด ถ้าสามารถกดลงมาได้โดยประสิทธิภาพของการล็อกดาวน์เพิ่มอีก 5% ลักษณะการติดเชื้อ การป่วยหนัก และเสียชีวิตจะลงมาในระดับควบคุมได้ต่อไป ขอให้อยู่บ้านเพื่อหยุดเชื้อเพื่อเราทุกคน” นพ.เกียรติภูมิกล่าว
ด้าน นพ.โสภณ กล่าวว่า สำหรับข้อมูลโมบิลิตี ติดตามการเคลื่อนย้ายรถและการเดินเท้า หลังประกาศลดการเดินทางตั้งแต่ 2 สัปดาห์ที่แล้วพบว่ามีแนวโน้มลดลง แต่ยังน้อยกว่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อย่าง กทม.และชลบุรี ปีที่แล้ว สามารถลดลงได้ 80 กว่า % ส่วนปีนี้ทำได้เพียง 70กว่า % ต้องขอความร่วมมือเพื่อให้ความเสี่ยงลดลง เชื้อโรคจะไม่มีที่ไปต่อ ถ้าลดการเดินทาง เชื้อโรคก็ลดโอกาสแพร่เชื้อ
เมื่อถามว่าคาดผลลัพธ์การล็อกดาวน์ 29 จังหวัดเป็นอย่างไร นพ.โสภณ กล่าวว่า เราใช้เวลาเรื่องการล็อกดาวน์มาระยะหนึ่งแล้ว ถ้าเพิ่มระยะเวลาจากนี้ต้องร่วมมือกันทำให้การแพร่เชื้อน้อยลงมากที่สุด อยากให้ประชาชนวางแผนให้ดี ออกจากบ้านน้อยที่สุด คนทำงานออฟฟิศหน่วยงานรัฐและเอกชนให้ทำงานที่บ้าน 100% หรือมากที่สุดเท่าที่ทำได้ คนที่ไม่ได้ทำงานออฟฟิศวางแผนการเดินทางให้น้อยลงที่สุดเช่นกัน
“เช่น ไปตลาดสัปดาห์ละหลายครั้ง ก็วางแผนลดการไป เหลือสัปดาห์ละครั้ง โดยวางแผนการซื้ออาหารต่างๆ เพิ่มเติม เพื่อเจอผู้คนน้อยลง และไม่มีผลกระทบเรื่องการอุปโภคบริโภค กิจกรรมที่ทำทางออนไลน์ได้ เจอผู้คนน้อยลงก็ให้ทำ การอยู่บ้านเพิ่มความเข้มงวดป้องกัน มีผู้สูงอายุโรคเรื้อรังในบ้าน เราไม่อยากให้เสี่ยงจากคนที่ออกจากบ้าน ผู้ที่ออกจากบ้านจึงต้องป้องกันตนเอง สวมหน้ากากเว้นระยะห่าง กลับมาก็ต้องทำเพราะไม่แน่ใจว่าติดหรือไม่ ตอนนี้เป็นเวลาทองใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า ถ้าร่วมมือเต็มที่ ถ้ายุติชะลอการแพร่ระบาดได้เราก็จะปลอดภัยกันทั้งสังคม” นพ.โสภณ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี