เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2564 นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน (ข้อมูลวันที่ 12 สิงหาคม เวลา 16.00 น.) พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 388 ราย โดยเป็นผู้ต้องขังในเรือนจำสีแดง 302 ราย และผู้ต้องขังรับใหม่ในห้องแยกกักโรค 86 ราย
และเสียชีวิต 2 ราย ทำให้มีผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ 6,139 ราย แยกเป็นกลุ่มสีเขียว 86.4 เปอร์เซนต์ สีเหลือง 13.2 เปอร์เซนต์และสีแดง 0.4
เปอร์เซนต์ ซึ่งเป็นเรือนจำพื้นที่กรุงเทพมหานคร 373 ราย ปริมณฑล 1,784 ราย และต่างจังหวัด 3,982 ราย

สำหรับผู้เสียชีวิต เป็นผู้ต้องขังจากเรือนจำกลางขอนแก่น และเรือนจำพิเศษพัทยา ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง มีโรคประจำตัว และสูงอายุ แม้ว่าได้ดูแลรักษาอย่างเต็มประสิทธิภาพตามมาตรฐานโดยทีมแพทย์ และส่งต่อการรักษายังโรงพยาบาลภายนอกแล้ว แต่อาการยังคงไม่ดีขึ้น จนกระทั่งได้เสียชีวิตลง กรมราชทัณฑ์ขอแสดงความเสียใจต่อการจากไป มา ณ โอกาสนี้ ทั้งนี้ ได้ประสานญาติเพื่อนำร่างผู้เสียชีวิตไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามวิธีการจัดการศพผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นที่เรียบร้อย

นายอายุตม์ กล่าวว่า วันนี้พบการระบาดเพิ่มในเรือนจำกลางนครสวรรค์ 1 แห่ง ทำให้มีเรือนจำสีแดงที่พบการระบาดจำนวน 36 แห่ง และเรือนจำสีขาวที่ไม่มีการแพร่ระบาด 106 แห่ง โดยมีผู้ติดเชื้อที่รักษาหายเพิ่ม 293 ราย รวมผู้ติดเชื้อรักษาหายสะสม 45,785 ราย หรือ87 เปอร์เซนต์ของผู้ติดเชื้อสะสม 52,649 ราย เสียชีวิตสะสม 82 ราย คิดเป็นอัตรา 0.15 เปอร์เซนต์ของผู้ติดเชื้อสะสม

นายอายุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม ศบค.ยธ.ในวันนี้ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบนโยบายแก่ผู้บริหารงานราชทัณฑ์ โดยได้เน้นย้ำให้เฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ที่สำคัญคือ การรวบรวมข้อมูลผู้ต้องขังกลุ่มเปราะบาง สูงอายุ และมีโรคประจำตัวที่จะมีความรุนแรงของโรคมากขึ้นเมื่อได้รับเชื้อ และเตรียมพร้อมให้สามารถเข้าถึงการรักษา ยาและเวชภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง รวมทั้งการปฏิบัติงานเชิงรุก การสอบสวนโรค และการจัดทำแผนควบคุมการระบาดสำหรับหยุดยั้งการแพร่กระจายของเชื้อตั้งแต่เริ่มพบการติดเชื้อในเรือนจำ เพื่อให้สามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อ และเข้าถึงยาได้ทันเวลา นอกจากนี้ ต้องเร่ง การจัดหายาฟ้าทะลายโจรสำรองแก่ผู้ต้องขังทุกราย อย่างน้อยรายละ 50 แคปซูล ภายในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงของโรค ตลอดจนลดการเสียชีวิตได้ในท้ายที่สุด