วันที่ 22 กันยายน 2564 นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ปลัดศธ.) นพ.สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และนายวิสิทธิ ใจเถิง นายกสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย (ส.บ.ม.ท.) ได้ร่วมชี้แจงในรายการ ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงศึกษาธิการ (ศบค.ศธ.) พบสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย (ส.บ.ม.ท.) “3ภาคีร่วมใจเพื่อเปิดเรียนปลอดภัยกับวัคซีนเด็ก” ผ่านระบบประชุมทางไกล ZOOM
นายสุภัทร กล่าวตอนหนึ่ง ว่า เนื่องจาก ศบค. ได้แบ่งโซนสีพื้นที่เป็น 3 โซน ได้แก่ พื้นที่ควบคุม หรือสีส้ม 11 จังหวัด ซึ่งสามารถจัดการศึกษาที่สถานศึกษาได้ตามปกติ ส่วนพื้นที่ควบคุมสุงสุด หรือสีแดง 37 จังหวัด จะจัดการศึกษาแบบ On site ได้จะต้องขออนุญาตผู้ว่าฯ และต้องปฏิบัติตามมาตรการของ สธ. THAI STOP COVID+, Thai Save Thai ทุกวัน สำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด หรือสีแดงเข้ม 29 จังหวัด ยังไม่อนุญาตให้เปิดเรียนในโรงเรียนได้ ศธ.และสธ. จึงมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในโรงเรียน โดยจัดโครงการ Sandbox Safety Zone in School หรือ SSS โดยนำร่องในโรงเรียนประจำ เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนที่โรงเรียนได้
นายสุภัทร กล่าวต่อว่า ขณะนี้ ศธ.และสธ. อยู่ระหว่างวางมาตรการ SSS ร่วมกัน เพื่อให้เปิดเรียนที่โรงเรียนแบบนักเรียนแบบไป-กลับ แต่มีมาตรการที่เข้มงวดมากกว่าโรงเรียนประจำ เช่น การใส่หน้ากาอนามัย หมั่นล้างมือ รักษาระยะห่าง ทำความสะอาดอุปกรณ์ต่าง ๆอยู่เสมอ ใช้ของตัวเองเท่านั้น จัดอาหารปรุงสุก เป็นต้น ซึ่งมาตรการเหล่านี้ต้องได้รับการตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา สถานศึกษาจะต้องดำเนินการตามมาตรการที่ สธ. กำหนดอย่างเข้มงวด เช่น THAI STOP COVID+, Thai Save Thai, การตรวจสอบวัตถุดิบที่นำไปประกอบอาหารให้เป็นไปตามหลักโภชนาการและสุขอนามัย และวางแผนเผชิญเหตุร่วมกับโรงพยาบาลกรณีพบเด็กติดเชื้อ หากโรงเรียนใดต้องการเปิดเรียนในโรงเรียน ต้องจัดทำแผนโดยยึดตามมาตรการที่ สธ.และศธ.กำหนดอย่างเคร่งครัด และเสนอผ่านศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) เมื่อศธจ.ตรวจสอบแผนแล้วพบว่าโรงเรียนดำเนินการตามมาตรการที่ สธ.และศธ.กำหนด ก็เสนอให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาอนุมัติให้เปิดเรียนแบบไปกลับได้
“มาตรการ SSS จะช่วยจัดการปัญหาให้กับพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด แต่ผมต้องขอให้ผู้บริหารสถานศึกษาทุกแห่งทั่วประเทศ ปฏิบัติตามมาตรการนี้เช่นเดียวกัน เพราะมีโรงเรียนพักนอนหลายแห่งที่ไม่ได้เข้าโครงการ SSS และไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรการที่ ศธ.และสธ.วางไว้อย่างเคร่งครัด จึงเกิดช่องว่างทำให้เด็กติดเชื้อในสถานศึกษา ดังนั้น จึงขอให้ผู้บริหารสถานศึกษาดำเนินการตามที่ สธ.และศธ.วางไว้อย่างเคร่งครัด ต่อเนื่องและด้วยความรับผิดชอบ” นายสุภัทร กล่าว
ปลัด ศธ. กล่าวอีกว่า ส่วนการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้นักเรียน นักศึกษา อายุ 12-17 ปี 11 เดือน 29 วัน โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือนักเรียน นักศึกษา ที่ศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรือเทียบเท่า ซึ่งระหว่างวันที่ 22-24 กันยายน ตนขอให้โรงเรียน สถานศึกษาประชุมทำความเข้าใจกับผู้ปกครอง ให้ผู้ปกครองกรอกเอกสารแสดงความประสงค์ฉีดวัคซีนให้กับนักเรียนเพื่อให้มีภูมิคุ้มกัน และในวันที่ 25 กันยายน โรงเรียนจะส่งข้อมูล จำนวนนักเรียนในแต่ละระดับชั้นส่งไปให้ ศธจ. เพื่อตรวจสอบ และวันที่ 26 กันยายน ทางจังหวัดจะรวบรวมตัวเลขนักเรียนที่ต้องการฉีดทั้งหมดส่งให้สาธารณสุขจังหวัด (สธจ.) ในวันที่ 27-30 กันยายน สธจ.จะส่งข้อมูลไปให้กรมควบคุมโรค เพื่อจัดสรรวัคซีนไปให้แต่ละพื้นที่ และในวันที่ 1 ตุลาคม สถานศึกษาจะทราบวันฉีดแน่นอน ว่าจะได้รับการจัดสรรวัคซีนมาให้ฉีดในวันไหน เมื่อทราบวันที่แน่นอนแล้วสถานศึกษาต้องนัดผู้ปกครองให้พาบุตรหลานเข้ามารับการฉีดวัคซีนตรงวันนัด และในวันฉีดวัคซีนสถานศึกษาจะต้องเตรียมสถานที่ให้พร้อมตามมาตการความปลอดภัยที่ สธ.กำหนด
“ดังนั้น การเปิดภาคเรียนที่ 2/2564 น่าจะใช้สองมาตรการใหญ่ คือ 1. Sandbox Safety Zone in School หรือ SSS จะใช้กับโรงเรียนประจำ โรงเรียนไป-กลับ ตามมาตรการที่ ศธ.และสธ.กำหนด และโรงเรียนมัธยม อาชีวะศึกษา เปิด On site ได้ เมื่อเด็กฉีดวัคซีนครบทุกคน แต่คนที่ไม่ได้ฉีดก็สามารถมาเรียนได้แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการอย่างเข้มงวด” ปลัดศธ. กล่าว
ด้าน นายวิสิทธิ ใจเถิง นายก ส.บ.ม.ท. กล่าวว่า การได้รับวัคซีนถือเป็นความหวังของสถานศึกษาที่จะเปิดเรียนแบบปกติ ในภาคเรียนที่ 2/2564 ซึ่งในส่วนของสถานศึกษาจะเตรียมความพร้อม และเตรียมข้อมูลของนักเรียนให้เร็วที่สุด เพื่อรองรับการฉีดวัคซีนให้เด็ก เช่น อาจทำการสำรวจทางออนไลน์ ให้นักเรียนกรอกข้อมูลแสดงความประสงค์ผ่าน google form เป็นต้น นอกจากนี้สถานศึกษาจะประชาสัมพันธ์ชี้แจงให้ผู้ปกครองทราบให้ได้มากที่สุดเพราะผู้ปกครองยังมีความกังวลอยู่ ซึ่งตนในฐานะผู้อำนวยการโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ได้สำรวจความต้องการฉีดวัคซีน พบว่านักเรียนสนใจฉีดวัคซีนถึง 98%
“เท่าที่ทราบนักเรียนในระดับชั้นมัธยมมีความรู้ ค้นคว้าข้อมูลด้วยตนเอง ซึ่งจากการสอบถามผู้ปกครองส่วนใหญ่บอกว่านักเรียนเป็นคนหาข้อมูลและเป็นผู้ตัดสินใจเองทั้งหมด เพราะเด็กต้องการมาโรงเรียนตามปกติ สรุปแล้วผมเชื่อว่าถ้าเราประชาสัมพันธ์ให้ดี สื่อสารให้ผู้ปกครองเข้าใจ ก็เชื่อว่าผู้ปกครองจะยินยอมให้เด็กฉีดวัคซีน 100% ซึ่งการฉีดวัคซีนทางโรงเรียนไม่ได้บังคับให้เป็นไปตามความสมัครใจ เพราะการฉีดวัคซีนจะทำให้นักเรียนมีภูมิคุ้มกัน และจะมีผลดีกว่าไม่ฉีด” นายวิสิทธิ กล่าว
ขณะที่ นพ.สราวุฒิ กล่าวว่า สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ขณะนี้ยังทรงๆอยู่ แต่อัตราการเสียชีวิตลดลงอย่างชัดเจน ซึ่งสาเหตุที่ผู้เสียชีวิตลดลงอาจจะมาจากมาตรการในการฉีดวัคซีน และมาตรการที่คุมเข้ม มีมาตรการล็อกดาวน์ และประชาชนร่วมมือร่วมใจกัน สิ่งเหล่านี้ถือเป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยป้องกันและควบคุมไม่ให้โควิด-19 แพร่ระบาด จากข้อมูลตั้งแต่เดือนมิถุนายน - 16 กันยายน พบว่า มีเด็กอายุ 0-19 ปี ติดเชื้อ 188,852 ราย จากข้อมูลนี้ พบว่าเด็กอายุ 13-19 ปี ติดเชื้อกว่า 80,000 ราย เมื่อเทียบกับการติดเชื้อของผู้ใหญ่ พบว่าเด็กติดเชื้อประมาณ 10-15% ซึ่งจะเห็นว่าอัตราการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ สาเหตุที่อัตราการติดเชื้อในเด็กเพิ่มขึ้น เพราะเด็กส่วนใหญ่ติดเชื้อมาจากผู้ปกครอง คนในครอบครัว และคนใกล้ชิด ส่วนอัตราการเสียชีวิต จากข้อมูลวันที่ 5 มิถุนายน - 16 กันยายน พบนักเรียนเสียชีวิ 5 ราย ครูเสียชีวิด 9 ราย และบุคลากรทางการศึกษาอื่นๆ เสียชีวิต 4 ราย สาเหตุที่เด็กเสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักเรียนที่มีโรคประจำตัว มีอัตราที่เด็กเสียชีวิตอยู่ที่ 0.03%
“การเปิดภาคเรียน หากมีการเรียนในโรงเรียน ขอให้ผู้บริหารสถานศึกษาปฏิบัติตามมาตรการที่ สธ.วางไว้อย่างเคร่งครัด ขอให้มีการควบคุมดูแลการเดินทางเข้า-ออก สถานศึกษาอย่างเข้มงวด แม้อัตราการติดเชื้อจากในโรงเรียนจะน้อย แต่เมื่อเด็กออกไปนอกโรงเรียนแล้วอาจจะติดเชื้อได้ ดังนั้น พื้นที่นอกโรงเรียน การเดิมทางของเด็ก โดยเฉพาะรถรับส่งนักเรียน ต้องทำให้เกิด COVID FREE ZONE นอกจากนี้ อยากให้ครู นักเรียน ตรวจสอบความเสี่ยงผ่าน Thai Save Thai ทุกวันก่อนเข้าโรงเรียน หรือมีการตรวจ ATK ก่อนเข้าภายในโรงเรียนเพื่อให้เกิดความมั่นใจ และลดความเสี่ยง สำหรับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กับนักเรียนที่อายุ 12-18 ปีนั้น มีผลวิจัยว่ามีความปลอดภัย และคณะกรรมการ อย.ของไทยก็รับรองแล้วว่าปลอดภัย จึงมั่นใจได้ว่าเด็กจะสามารถรับวัคซีนไฟเซอร์ได้ ส่วนผู้ปกครองที่ยังกังวลถึงความปลอดภัยนั้น ต่างประเทศและประเทศไทยยังไม่พบผลข้างเคียงที่รุนแรงเลย แต่ระดับภูมิคุ้มกันสามารถยับยั้งเชื้อได้สูงถึง 2 เท่า ซึ่งจะทำให้เด็กนักเรียนไม่ติดเชื้อที่รุนแรงและสามารถมาเรียนที่โรงเรียนได้” นพ.สราวุฒิ กล่าว -007
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี