ศธ.แถลง 4 ภารกิจหลักพัฒนาการศึกษาพิเศษ ภายใต้แนวคิด การศึกษาพิเศษไทย หัวใจนำทาง สร้างโอกาสให้เด็กพิการ-ด้อยโอกาส
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2564 ที่หอประชุมคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวตอนหนึ่งในการเป็นประธานแถลงภารกิจในการสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กพิการและด้อยโอกาส ภายใต้แนวคิด "การศึกษาพิเศษไทย หัวใจนำทาง" โดยมี นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) และผู้บริหารระดับสูง ศธ.เข้าร่วม
โดย น.ส.ตรีนุช กล่าวว่า ที่ผานมา ศธ.ได้ขับเคลื่อนนโยบายด้านการศึกษาพิเศษภายใต้แนวคิด "การศึกษาพิเศษไทย หัวใจนำทาง" ใน 4 ภารกิจหลักเร่งด่วน (Quick Win) ดังนี้ 1.การปักหมุดค้นหาเด็กพิการที่ตกหล่นอยู่ในพื้นที่ต่างๆ นำเข้าสู่ระบบคัดกรอง ส่งต่อระบบการศึกษา หรือการให้บริการทางการศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษแต่ละบุคคล โดยได้ดำเนินการจัดทำฐานข้อมูล Big Data เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษา พร้อมกับให้ศูนย์การศึกษาพิเศษทุกจังหวัด ค้นหาเด็กพิการในวัยเรียนที่อายุไม่เกิน 18 ปี และยังไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษา ให้ได้รับการพัฒนาอย่างทั่วถึง และเท่าเทียมตามที่ได้ข้อมูลจากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จำนวนกว่า 7 พันคน
2.การจัดทำคู่มือสื่อบัญชี ก-ข-ค ซึ่งเป็นสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ให้สอดล้องกับความต้องการของนักเรียน และในขณะนี้สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ได้แจ้งให้ศูนย์การศึกษาพิเศษทุกแห่ง ประชาสัมพันธ์คู่มือรายการสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ให้โรงเรียนจัดการเรียนรวมในจังหวัดที่ศูนย์การศึกษาพิเศษรับผิดชอบ นำไปใช้งานเพื่อประโยชน์สำหรับคนพิการ และผู้ปฏิบัติงานต่อไป
3.การช่วยเหลือเด็กที่เจ็บป่วยในโรงพยาบาล โดยได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์การเรียนสำหรับเด็กในโรงพยาบาล เพื่อให้บริการทางการศึกษาแก่บุคคลที่มีความบกพร่องทางสุขภาพวัยเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งจัดเป็นคนพิการทางการศึกษาประเภทบุคคลที่มีความบกพร่องทางสุขภาพ โดยปัจจุบันมีศูนย์ช่วยเหลือ 85 ศูนย์ กระจายใน 77 จังหวัด ครอบคลุมทั้งประเทศ โดยมีภารกิจหลักคือ การช่วยเหลือเด็กที่เจ็บป่วยอยู่ในโรงพยาบาล หรือที่บ้านภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 เป็นระยะเวลานานจนไม่สามารถไปเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานได้ตามปกติ
และ 4.การสร้างและส่งต่อแรงบันดาลใจ คนภายนอกจะมองว่าการดูแลเด็กพิการหรือเด็กด้อยโอกาส เหมือนเป็นสถานที่รับเลี้ยงเด็ก และอาจมีคำถามว่าเมื่อเด็กจบจากการศึกษาไปแล้วเด็กจะไปที่ไหน จะทำอะไร จึงจำเป็นต้องสื่อให้คนภายนอกเห็นว่า เด็กพิการและเด็กด้อยโอกาสมากมายที่เข้ามาอยู่ในโรงเรียนการศึกษาพิเศษ ได้ถูกบ่มเพาะ ทำให้เด็กก้าวข้ามคำว่าพิการหรือด้อยโอกาสจนประสบความสำเร็จ" น.ส.ตรีนุช กล่าว
รมว.ศธ.กล่าวต่อว่า ภารกิจด้านการศึกษานั้นเป็น ภารกิจที่มีความสำคัญอย่างยิ่งกับประเทศชาติการศึกษาไทยจะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทั้งนี้ ขอขอบคุณ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศธ.ที่มีความเป็นห่วงเด็กพิเศษในเรื่องการเรียนและความเป็นอยู่อย่างมาก ติดตามและให้การช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด เพื่อให้เด็กพิเศษทุกคนได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงขอบคุณ นางกนกวรรณ วิลาวรรณ รมช.ศธ.ที่ได้ยกระดับคุณภาพการศึกษาสำหรับคนพิการ บุคคลออทิสติกและบุคคลที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ สามารถนำความรู้ไปใช้ในการเรียนรู้ การพัฒนาตนเอง และการมีพื้นฐานอาชีพตามความสนใจและความถนัด รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่นำแนวนโยบายไปปฏิบัติอย่างเป็นเข้มแข็งและเกิดผลสัมฤทธิ์ในการสร้างโอกาสให้เด็กด้อยโอกาส ได้อย่างเท่าเทียม สร้างโรงเรียนให้เป็นบ้านสร้างครูให้เป็นพ่อแม่ ให้ความรักให้ความอบอุ่นที่เป็นรากฐานที่ดีงามในการพัฒนาจิตใจ ควบคู่ไปกับการนำเทคโนโลยีทีทันสมัยมาประยุกต์ใช้ภายใต้บริบทของการเปลี่ยนแปลง
รมว.ศธ. กล่าวด้วยว่า ตนตระหนักดีว่า ภารกิจของ ศธ.มีอยู่มากมาย ทั้งที่ยังรอการดำเนินงานและที่ได้เริ่มขับเคลื่อนไปแล้ว ซึ่งจำต้องอาศัยความพยายามที่จะให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เด็กพิเศษทุกคนสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีเกียรติศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับผู้อื่นในสังคม สามารถช่วยเหลือตนเอง และมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ
ทั้งนี้ ในการแถลงข่าวได้มีการเปิดเทปบันทึกเสียงของ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศธ.ซึ่งกำกับดูแลสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ (สพฐ.) ด้วย ว่า เราต้องให้ความรู้กับเด็กกลุ่มพิการทั้ง 9 ประเภท ทั้งทางด้านวิชาการ วิชาชีพ และวิชาชีวิต เพราะเด็กที่ด้อยโอกาสเหล่านี้ เมื่อมีโอกาสได้เรียนรู้แล้ว ก็จะสามารถไปประกอบอาชีพได้เมื่อสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนแล้ว ดังนั้น การดูแลเด็กเหล่านี้จึงจำเป็นจะต้องมีครูการศึกษาพิเศษ ที่คอยดูแลเอาใจใส่เหมือนเป็นลูกคนหนึ่ง เพราะครูต้องอยู่กับเด็กตลอด 24 ชั่วโมง และการที่เด็กได้อยู่กับครูในโรงเรียนประจำ จะทำให้เด็กได้เรียนรู้วิชาชีวิตไปในตัว ทั้งงานบ้าน งานเกษตร งานอาชีพ ซึ่งแล้วแต่ความสนใจ สรุปก็คือการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังแม้แต่คนเดียว
ด้าน นางกนกวรรณ กล่าวว่า ตามที่ รมว.ศธ.ได้มอบหมายให้ตนกำกับดูแลใน 3 หน่วยงาน คือ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) และสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ในด้านการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ ตนได้กำหนดทิศทางการทำงาน และได้ดำเนินการตามนโยบายอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของ สช.ได้พัฒนาครูการศึกษาพิเศษในโรงเรียนเฉพาะความพิการในโรงเรียนที่จัดการเรียนร่วม นอกจากนี้ ได้ดำเนินการขอเพิ่มเงินอุดหนุนรายบุคคล ให้แก่นักเรียนพิการ ตามความจำเป็นที่เหมาะสม เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา (ครม.) ตามความเห็นชอบของคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) และอุดหนุนสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อการเรียน และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ให้กับนักเรียนพิการ คนละ 2,000 บาทต่อปี
"ในส่วนของ กศน.ได้จัดการศึกษา ให้กับผู้พิการทั้ง 9 ประเภท ทั่วประเทศ ขณะนี้มีนักศึกษา 7,544 คน ครูสอนคนพิการ 516 คน ทั้งการศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาต่อเนื่อง และการศึกษาตามอัธยาศัย สำหรับในปีงบประมาณ 2565 ได้ประสานความร่วมมือระหว่าง กศน.และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่อสำรวจคนพิการที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษา ในเบื้องต้น กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ได้ส่งรายชื่อผู้ที่จดทะเบียนคนพิการ และยังไม่เข้าสู่ระบบการศึกษา กว่า 50,000 คน นอกจากนี้ ทางสำนักงาน กศน.จังหวัด จะร่วมกับศูนย์การศึกษาพิเศษ สพฐ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำรวจ ค้นหา คัดกรอง จัดทำฐานข้อมูล และดำเนินในจังหวัดนำร่องที่ จ.ระนอง เพื่อทำเป็นจังหวัดต้นแบบในการจัดการศึกษาให้ผู้พิการ จากนั้น จะนำร่อง 18 จังหวัด ตามเขตตรวจราชการของ ศธ.ภายใต้การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทั้งกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวง พม.ในการจัดการศึกษาให้กับผู้พิการต่อไป" นางกนกวรรณ กล่าว
ขณะที่ นายอัมพร กล่าวว่า ขณะนี้ สพฐ.ดูแลเด็กพิเศษ และเด็กพิการ กว่า 70,000 คน ยังไม่รวมเด็กพิเศษและเด็กพิการในสังกัดอื่น ซึ่ง สพฐ.ต้องการให้เด็กเหล่านี้ได้เข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม โดยร่วมมือกับกระทรวง พม.และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สำรวจเด็กพิการทั่วประเทศ จากนั้น สพฐ.จะแบ่งกลุ่ม ประเภท เพื่อจัดการศึกษาให้ตรงกับความต้องการของเด็ก ในกลุ่มเด็กที่ไม่สามารถไปเรียนได้ สพฐ.จะจัดการศึกษาโดยปรับบ้านเป็นโรงเรียน เปลี่ยนพ่อแม่เป็นครู ส่วนเป้าหมายในการจัดการศึกษาให้เด็กเหล่านี้ คือ ต้องสอนให้สามารถช่วยเหลือตนเองให้ได้ สอนให้เด็กมีทักษะด้านวิชาการ และมีทักษะอาชีพ เพื่อให้เด็กสามารถประกอบอาชีพโดยไม่เป็นภาระของใคร
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี