11 พ.ย. 2564 นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวในงานแถลงข่าวประจำสัปดาห์ของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กรณีที่ กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือน ก.พ. 2564 กล่าวอ้างว่า เมื่อเดือน เม.ย. 2561 ผู้ร้องได้เข้ารับการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ณ จังหวัดอุดรธานี แต่เนื่องจากผู้ร้องเป็นบุคคลที่ภาวะเพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิด จึงได้รับการปล่อยตัว
ซึ่งเมื่อกระบวนการตรวจเลือกทหารกองเกิน ฯ เสร็จสิ้นแล้ว เจ้าหน้าที่ของกรมการปกครองในฐานะได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2519 ได้แจ้งให้ผู้ร้องรวมถึงผู้เข้ารับการตรวจเลือกฯ ทุกราย เข้ารับการตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะ โดยผลการตรวจไม่พบสารเสพติด แต่ผู้ร้องเห็นว่า การตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะของผู้เข้ารับการตรวจเลือกฯ ทุกรายในลักษณะเหมารวม โดยไม่จำแนกและตรวจตามเหตุอันควรสงสัย เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงขอให้ตรวจสอบ
จากข้อร้องเรียนข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2564 ได้พิจารณากรณีดังกล่าวประกอบหลักกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชนแล้วเห็นว่า การดำเนินการตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะของผู้เข้ารับการตรวจเลือกฯ ทุกรายของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ในกรณีดังกล่าวเป็นไปโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 14 ทวิ แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2519 และมาตรา 58/1 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522
ซึ่งมีสาระว่า ในกรณีที่จำเป็นและมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดเสพยาเสพติดในเคหสถาน สถานที่ใดๆ หรือยานพาหนะ ให้เจ้าพนักงานมีอำนาจตรวจหรือทดสอบหรือสั่งให้รับการตรวจหรือทดสอบว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคลนั้นมีสารเสพติดอยู่ในร่างกายหรือไม่ ทั้งยังสอดคล้องกับประกาศสำนักงาน ป.ป.ส. ลงวันที่ 3 ส.ค. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
และตามหนังสือสั่งการของ ศอ.ปส.ปค. ด่วนที่สุด ที่ มท 0311.3/ว 5766 ลงวันที่ 23 มี.ค. 2561 เรื่อง การตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะของผู้ที่เข้ารับการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ประจำปี 2561 และเป็นไปโดยอ้างอิง สถิติระบบข้อมูลการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดของประเทศ (บ.ส.ต.) ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 - 2563 ที่ว่า บุคคลช่วงอายุ 20-24 ปี เป็นกลุ่มช่วงอายุที่มีการใช้ยาเสพติดและเข้าสู่ระบบการบำบัดรักษามากที่สุด มีสัดส่วนถึง 1 ใน 4 ของผู้เข้ารับการบำบัดรักษาทั้งหมด
“ กสม.พิจารณาแล้วเห็นว่า จากข้อมูลดังกล่าว ไม่อาจถือได้ว่า มีเหตุอันควรในการสั่งการให้ผู้เข้ารับการตรวจเลือกทหารกองเกินฯ ทุกรายต้องตรวจหาสารเสพติด เนื่องด้วยกระบวนการเช่นนี้เป็นการดำเนินการในลักษณะเหมารวม โดยไม่จำแนกเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ใดเป็นผู้เสพยาเสพติด จึงถือว่าเป็นการกระทำอันละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้ร้องและผู้เข้ารับการตรวจเลือกทหารกองเกินฯ ทุกราย” นายวสันต์ กล่าว
นายวสันต์ กล่าวต่อไปว่า กสม.จะได้มีข้อเสนอแนะไปยังสำนักงาน ป.ป.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ตรวจหาสารเสพติดเป็นไปตามกฎหมายโดยเคร่งครัด และมีเหตุผลสมควรจำเป็นอันเฉพาะเจาะจง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เป็นการละเมิดสิทธิในชีวิตและร่างกายของประชาชน อันสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 28
ที่บัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย... การค้นตัวบุคคลหรือการกระทำใดอันกระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือเสรีภาพในชีวิตหรือร่างกายจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติ...” รวมทั้งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ข้อ 9 ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม ซึ่งได้รับรองสิทธิและเสรีภาพดังกล่าวไว้เช่นเดียวกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี