โพลเปิด 5 อันดับประเภท‘หนี้สิน’คนไทย พบมีภาระเฉลี่ยครัวเรือนละ 1.24 ล้าน
28 พฤศจิกายน 2564 “สวนดุสิตโพล”มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนเฉพาะผู้ที่มีหนี้สินทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,059 คน (สำรวจทางออนไลน์) ระหว่างวันที่ 22-25 พฤศจิกายน 2564 หัวข้อ “ภาวะหนี้สินของคนไทย ณ วันนี้” เพื่อสะท้อนความคิดเห็นกรณีปัญหาหลักของคนไทย ณ วันนี้ ยังคงเป็นเรื่องรายได้ รายจ่าย และหนี้สิน ที่นับวันจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อโควิด-19 ระบาด ก็ยิ่งกระทบต่อชีวิตของประชาชนมากขึ้น สรุปผลได้ดังนี้
1. ประชาชนมีหนี้สินประเภทใดบ้าง
อันดับ 1 บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล 46.52%
อันดับ 2 สินเชื่อที่อยู่อาศัย เช่น บ้าน คอนโด อาคารพาณิชย์ ฯลฯ 39.85%
อันดับ 3 ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน 35.46%
อันดับ 4 รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ 30.79%
อันดับ 5 การศึกษา ค่าเล่าเรียน กยศ. 15.73%
2. ประชาชนมีหนี้สินเฉลี่ยครัวเรือนละประมาณ 1,248,847.03 บาท
น้อยกว่า 500,000 บาท 48.18%
1,000,000 – 2,999,999 บาท 22.85%
3,000,000 บาทขึ้นไป 15.26%
500,000 – 999,999 บาท 13.71%
3. ประชาชนคิดว่าจะใช้หนี้ได้หมดหรือไม่
น่าจะใช้หนี้ได้ทั้งหมด 71.11%
ไม่แน่ใจ 15.20%
ไม่น่าจะใช้หนี้ได้ทั้งหมด 13.69%
4. ประชาชนเครียดและวิตกกังวลเกี่ยวกับหนี้สินอยู่ในระดับใด
เครียดและวิตกกังวลปานกลาง 38.15%
เครียดและวิตกกังวลน้อย 31.49%
เครียดและวิตกกังวลมาก 22.74%
ไม่เครียดและไม่วิตกกังวล 7.62%
5. พฤติกรรมของประชาชนหลังจากการมีภาระหนี้สิน
อันดับ 1 วางแผนการใช้จ่ายรัดกุมมากขึ้น 60.23%
อันดับ 2 ทำงานมากขึ้น หารายได้เสริม 55.04%
อันดับ 3 ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการหนี้ ลดดอกเบี้ย 40.25%
อันดับ 4 เสี่ยงโชคเพื่อหาเงินใช้หนี้ 31.51%
อันดับ 5 หยิบยืมเงินคนรอบตัวมากขึ้น 25.36%
6. ประชาชนคิดว่าควรแก้ปัญหาหนี้สินอย่างไร
อันดับ 1 แก้ด้วยตนเอง มีวินัย วางแผนการใช้จ่าย อดออม 80.88%
อันดับ 2 รัฐปรับโครงสร้างหนี้ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 61.85%
อันดับ 3 เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เพิ่มรายได้ จ้างงานมากขึ้น 52.81%
อันดับ 4 ให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับการจัดการหนี้ 31.30%
อันดับ 5 สถาบันทางการเงินช่วยวางแผนทางการเงิน 23.31%
7. ใคร? จะช่วยเรื่องปัญหาหนี้สินได้
อันดับ 1 ตัวเอง 89.23%
อันดับ 2 ครอบครัว คนใกล้ชิด 46.33%
อันดับ 3 ธนาคาร 36.70%
อันดับ 4 สหกรณ์ออมทรัพย์ 22.97%
อันดับ 5 โรงรับจำนำ 11.25%
นางสาวพรพรรณ บัวทอง นักวิจัย สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยว่า จากการสำรวจ พบว่า ส่วนใหญ่ประชาชนมีหนี้บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคลมากที่สุด ร้อยละ 46.52 รองลงมาคือสินเชื่อที่อยู่อาศัย ร้อยละ 39.85 มีหนี้สินเฉลี่ยครัวเรือนละประมาณ 1,248,847.03 บาท โดยคาดว่าใช้หนี้ได้ทั้งหมด ร้อยละ 71.11 รู้สึกเครียดและวิตกกังวลเกี่ยวกับหนี้สินปานกลาง ร้อยละ 38.15 เมื่อมีหนี้สินจึงวางแผนการใช้จ่ายให้รัดกุมมากขึ้น ร้อยละ 60.23 ทั้งนี้การแก้ปัญหาหนี้สินต้องแก้ด้วยตนเอง มีวินัย วางแผนการใช้จ่าย อดออม ร้อยละ 80.88 รองลงมาคือ รัฐปรับโครงสร้างหนี้ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ร้อยละ 61.85 และมองว่า “ตนเอง” ที่จะช่วยแก้ปัญหาหนี้ได้ ร้อยละ 89.23 รองลงมา คือ ครอบครัว คนใกล้ชิด ร้อยละ 46.33
จากผลการสำรวจ พบว่า กลุ่มที่มีหนี้บัตรเครดิตมากที่สุด คือ พนักงานเอกชน และราชการ ส่วนกลุ่มลูกจ้าง/รับจ้างส่วนใหญ่มีหนี้น้อยกว่า 5 แสนบาท กลุ่มราชการมีหนี้ประมาณ 1 ล้านบาทขึ้นไป โดยกลุ่มลูกจ้าง/รับจ้างมีความเครียดเกี่ยวกับหนี้สินมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ อาจเป็นเพราะความไม่มั่นคงในหน้าที่การงาน รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้ตัวเลขคนตกงานพุ่งสูงขึ้นถึง 8.7 แสนคน ปัญหาหนี้สินจึงเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตของประชาชน และก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมา ภาครัฐจึงควรมีมาตรการช่วยเหลือทั้งระบบ เช่น การเพิ่มรายได้ ลดค่าครองชีพ ปรับโครงสร้างหนี้ ฯลฯ เพื่อช่วยให้ประชาชนมีความสามารถในการชำระหนี้เพิ่มมากขึ้น
ด้านอาจารย์วณิชยา ศีลบุตร อาจารย์ประจำคณะวิทยาการจัดการ หลักสูตรเศรษฐศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์การวิเคราะห์และการประเมินสมัยใหม่ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่า ผลโพลสะท้อนให้เห็นว่าการก่อหนี้แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ได้แก่ (1) การก่อหนี้เพื่ออุปโภคบริโภคและใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ได้แก่ หนี้บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และ (2) การก่อหนี้เพื่อซื้อทรัพย์สิน ได้แก่ สินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อรถ กลุ่มที่น่าเป็นห่วง คือ กลุ่มที่ไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ เพราะเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน จึงก่อหนี้จากบัตรเครดิตแทนถึงแม้ว่าดอกเบี้ยจะสูงกว่าก็ตาม ซึ่งบัตรเครดิตไม่ได้ใช้แค่การอุปโภคบริโภค แต่เป็นการกดเงินสดออกมาเพื่อการลงทุนด้วยเช่นกัน
สำหรับการลดภาระหนี้นั้น ประชาชนควรมีวินัยทางการเงิน สร้างรายได้เพิ่ม ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น การออมเงินก็เป็นทางเลือกหนึ่ง ในปัจจุบันยังมีทางเลือกในการหารายได้เพิ่มโดยใช้เทคโนโลยีและสื่อออนไลน์ให้เป็นประโยชน์ซึ่งจะทำให้ต้นทุนในการทำธุรกิจต่ำลง อย่างไรก็ตาม ประชาชนควรหาความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีในการขายและทางการเงินเพิ่มเติม สำหรับหนี้ที่มีอยู่ควรใช้วิธีเจรจากับธนาคารเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และภาครัฐควรช่วยประชาชนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี