เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2565 ในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ผศ.สุชาติ เศรษฐมาลินี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวถึงปัญหาแรงงานข้ามชาติที่ลักลอบเข้าเมืองมาทำงานอย่างผิดกฎหมาย ว่า ตามที่ กสม.ได้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเด็นแรงงานข้ามชาติในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และพบรายงานการลักลอบนำเข้าแรงงานผิดกฎหมายผ่านช่องทางธรรมชาติตามแนวชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับปัญหาการค้ามนุษย์ และการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากแรงงานโดยกลุ่มบุคคลต่างๆ
กสม.จึงได้จัดประชุมเรื่อง "สิทธิมนุษยชนของแรงงานข้ามชาติกับสถานการณ์การลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย" เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.2564 โดยรับฟังข้อมูลและความคิดเห็นจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนองค์กรภาคธุรกิจ องค์กรภาคประชาสังคมและผู้ทรงคุณวุฒิของ กสม. และพบสภาพปัญหาสำคัญ เช่น ปัญหาการขาดแคลนแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะภายหลังรัฐบาลมีนโยบายเปิดประเทศและผู้ประกอบการเริ่มกลับมาเปิดกิจการเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 แต่เนื่องจากช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านได้เดินทางกลับประเทศ ทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน
และเร็วๆ นี้ เมื่อเกิดสถานการณ์ทางการเมืองในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ทำให้แรงงานชาวเมียนมาต้องการเข้ามาทำงานในประเทศไทย เป็นเหตุให้มีการลักลอบนำเข้าแรงงานอย่างผิดกฎหมายมากขึ้น ส่วนการนำเข้าแรงงานข้ามชาติ 3 สัญชาติ คือกัมพูชา ลาวและเมียนมา อย่างถูกต้องตามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงาน หรือเอ็มโอยู (MOU) ระหว่างประเทศไทยกับประเทศต้นทาง ประสบปัญหาอุปสรรค เช่น การขึ้นทะเบียนแรงงานในประเทศต้นทางที่ใช้ระยะเวลานาน
ขั้นตอนการนำเข้าแรงงานข้ามชาติมีหลายขั้นตอน และบางขั้นตอนมีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา ค่าตรวจเชื้อโควิด 19 รวมทั้งค่าใช้จ่ายสำหรับการกักตัวแรงงาน เป็นต้น ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายได้ ขณะที่สถานที่กักตัวสำหรับแรงงานข้ามชาติบริเวณจุดผ่านแดนยังมีจำนวนจำกัด ทั้งยังพบปัญหาการเข้ารับการตรวจสุขภาพของแรงงานซึ่สถานพยาบาลหลายแห่งปฏิเสธการตรวจสุขภาพ ทำให้การขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติ ไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด และต้องถูกส่งกลับประเทศต้นทาง
นอกจากนี้ ยังมีอุปสรรคอันเกี่ยวเนื่องกับกฎระเบียบ เช่น ข้อจำกัดเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายแรงงานและการเปลี่ยนนายจ้างของแรงงานข้ามชาติตาม พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 ที่อาจเป็นการจำกัดสิทธิของแรงงานข้ามชาติที่ควรเลือกทำงานได้อย่างเสรีและเป็นไปตามหลักอุปสงค์และอุปทาน อย่างไรก็ดี พบว่าคณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติเป็นจำนวนมาก ทำให้การบริหารจัดการทางทะเบียนของแรงงานข้ามชาติไม่เป็นเอกภาพและมีความซ้ำซ้อนกัน
ผศ.สุชาติ กล่าวต่อไปว่า กสม.ได้พิจารณาข้อมูลดังกล่าวแล้วเห็นว่า การบริหารจัดการเกี่ยวกับการนำเข้าแรงงานข้ามชาติควรคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในเรื่องสิทธิในการทำงาน สิทธิในโอกาสที่จะหาเลี้ยงชีพโดยงานซึ่งตนเลือกหรือรับอย่างเสรี มีสภาพการทำงานที่ยุติธรรม ตลอดจนสิทธิที่จะไม่ถูกเอาตัวลงเป็นทาสหรือถูกบังคับให้ตกอยู่ในภาวะเยี่ยงทาส และสิทธิที่จะไม่ถูกบังคับใช้แรงงาน ตามที่ได้มีการรับรองและคุ้มครองไว้ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ที่ประเทศไทยเป็นภาคี
ด้วยเหตุนี้ กสม.จึงได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เรื่อง ข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีสิทธิมนุษยชนของแรงงานข้ามชาติกับสถานการณ์การลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2564 โดยได้แจ้งสภาพปัญหาพร้อมข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้มีผลในทางปฏิบัติโดยเร่งด่วน สรุปได้ดังนี้
สำหรับข้อเสนอแนะในระยะสั้น 1.ให้กระทรวงแรงงานพิจารณาดำเนินการ เช่น สำรวจความต้องการแรงงานข้ามชาติของผู้ประกอบการในทุกประเภทกิจการเพื่อเป็นฐานข้อมูลกลางสำหรับการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติทั้งระบบ และร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนขั้นตอนการนำเข้าแรงงานข้ามชาติ 3 สัญชาติตาม MOU พร้อมหารือกับประเทศต้นทางเพื่อปรับลดขั้นตอนการดำเนินการให้มีความสะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น และปรับลดค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมเพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบธุรกิจรายย่อยสามารถนำเข้าแรงงานได้
นอกจากนี้ ควรแก้ไขเพิ่มเติม MOU การจ้างงานระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เพื่อเพิ่มโอกาสให้แรงงานเวียดนามสามารถทำงานได้ในประเภทกิจการอื่น (นอกเหนือจากกิจการประมงทะเลและก่อสร้าง) ได้เช่นเดียวกับแรงงานกัมพูชา ลาว และเมียนมา ทั้งนี้ ควรเร่งจัดทำยุทธศาสตร์การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวฉบับใหม่ เพื่อใช้แทนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ.2560 - 2564
เพื่อจัดหาแรงงานข้ามชาติให้เพียงพอต่อความต้องการทางเศรษฐกิจ และลดจำนวนแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายที่นำไปสู่ผลกระทบอื่น เช่น โรคระบาด ปัญหาสังคม การค้ามนุษย์ เป็นต้น โดยที่แนวทางการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติตามมติคณะรัฐมนตรีฉบับต่างๆ ควรรวบรวมให้เป็นแนวทางเดียวกัน พร้อมจัดทำเป็นเอกสารเผยแพร่ด้วยภาษาราชการของประเทศต้นทางด้วย
2.ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พิจารณาเปิดจุดผ่านแดนถาวรที่มีความพร้อมเพิ่มเติม เพื่อให้แรงงานข้ามชาติที่เข้าเมืองถูกต้องตามกฎหมายสามารถเดินทางเข้ามาได้รวดเร็วขึ้น 3.ให้กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการกักตัวแรงงานข้ามชาติตามมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ตรวจสอบและจัดหาสถานที่สำหรับการกักตัวแรงงานข้ามชาติที่มีมาตรฐานและเพียงพอ
และ 4.ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จัดทำฐานข้อมูลแรงงานข้ามชาติให้เป็นระบบเดียวกัน รวมถึงการพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับยืนยันตัวตนเพื่อความสะดวก รวดเร็ว และลดค่าใช้จ่ายการขึ้นทะเบียนแรงงาน ส่วนข้อเสนอแนะในระยะยาว ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาดำเนินการ นำปัญหาการลักลอบนำเข้าแรงงานผิดกฎหมายไปหารือและเจรจาหาข้อตกลงร่วมกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน
เพื่อแก้ไขป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายและคุ้มครองสิทธิของแรงงานย้ายถิ่น นอกจากนี้ควรสำรวจ ทบทวน และแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย หรือขั้นตอนการดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติที่อาจไม่สอดคล้องหรือเป็นอุปสรรคต่อการคุ้มครองแรงงาน เช่น ปรับปรุงระบบการเคลื่อนย้ายและการเปลี่ยนนายจ้างให้มีความเหมาะสมเพื่อให้แรงงานเลือกทำงานตามที่กฎหมายกำหนดได้อย่างเสรี ปรับปรุงระบบการเข้าถึงบริการสาธารณสุข รวมถึงสถานที่ตรวจสุขภาพที่สะดวกและเพียงพอ
ผศ.สุชาติ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีข้อกังวลเกี่ยวกับปัญหาความไม่สงบในประเทศเมียนมา ซึ่งอาจทำให้ชาวเมียนมาจำนวนมากแห่หนีเข้าประเทศไทยทั้งที่เป็นผู้ลี้ภัยและเข้ามาลักลอบทำงานนั้น ยอมรับว่าสถานการณ์น่าเป็นห่วง เพราะจากเดิมที่สถานการณ์มีเพียง จ.ตาก ปัจจุบันยังพบว่ามีที่ จ.แม่ฮ่องสอน ด้วย โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 12 ม.ค.2565 มีกรรมการสิทธิมนุษยชน 2 ท่าน คือนางปรีดา คงแป้น และ น.ส.ศยามล ไกยูรวงศ์ เดินทางไปที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อติดตามสถานการณ์และหารือกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีค่ายผู้ลี้ภัย 9 แห่งที่อยู่มาเกือบ 40 ปีแล้ว มีคนอยู่เกือบ 1 แสนคน หลายคนเกิดและเติบโตในประเทศไทยไม่มีภาพจำเกี่ยวกับประเทศบ้านเกิด ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีงานวิจัยของ นายชยันต์ วรรธนะภูติ อาจารย์ภาควิชาสังคมศาสตร์กับการพัฒนา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เกี่ยวกับศูนย์พักพิงชั่วคราวทั้ง 9 แห่ง ซึ่งมีข้อเสนอที่น่าสนใจ
"วันนี้คนเกือบแสนคนแล้วเขาอยู่ที่นี่มานานแล้วเขาไม่มีภาพจินตนาการนึกถึงบ้านเกิด เพราะเขาโตที่นี่ โตในเมืองไทยแต่ไปไหนไม่ได้ ตรงนั้นเราจะทำอย่างไรในสภาวะที่การขาดคลานแรงงานของบ้านเรา ที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ การพัฒนาเศรษฐกิจขณะนี้ทำอย่างไรที่เราจะพัฒนาบุคคลเหล่านั้น แล้วก็ให้เข้ามาสู่ระบบแรงงานอย่างถูกต้องชอบธรรมตรงนั้น ก็คงเป็นเรื่องที่หลังจากที่ กสม.ทั้ง 2 ท่านได้กลับมา เราคงได้มีการพูดคุยและหารือกับหน่วยงานราชการภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาเรื่องตรงนี้ในระยะยาวต่อไป" ผศ.สุชาติ กล่าว
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี