กรมชลฯ ลงพื้นที่ศึกษาโครงข่ายบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออก วางระบบผันน้ำจันทบุรีป้อนอ่างประแสร์หนุนเศรษฐกิจขยายตัว
กรมชลประทาน นำสื่อมวลชนรับฟังแนวทางการบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออกเพิ่มศักยภาพอ่างเก็บน้ำประแสร์ จ.ระยอง ต้นแบบการบริหารจัดน้ำครบวงจรภาคตะวันออก พร้อมเชื่อมโยงโครงข่ายผันน้ำส่วนเกินจากแหล่งน้ำ อ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด จันทบุรี เพิ่มศักยภาพน้ำต้นทุน เสริมความมั่นคงระบบน้ำพื้นที่เศรษฐกิจของประเทศ ดึงภาคประชาชนมีส่วนร่วมพัฒนา ให้สอดรับกับความต้องการใช้ของทุกภาคส่วนในภาคตะวันออก
นายเฉลิมเกียรติ คงวิเชียรวัฒน์ รองอธิบดีฝ่ายวิชาการ กรมชลประทานกล่าวว่า ได้นำคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่ร่วมประชุมและรับฟังการบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออก (วังโตนด-ประแสร์-หนองปลาไหล-บางพระ) เพื่อศึกษาและสำรวจระบบการบริหารจัดการน้ำของอ่างเก็บน้ำประแสร์ จ.ระยอง และโครงข่ายผันน้ำ ในพื้นที่หัวงาน ของสถานีสูบน้ำบ้านวังประดู่จ.จันทบุรี โดยมี นายเกรียงศักดิ์ พุ่มนาค ผู้อำนวยการส่วนบริหารจัดการน้ำและบำรุงรักษาสำนักงานชลประทานที่ 9 นายสุรชัย นำนาผล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานระยอง นายปกครอง สุดใจนาค ผู้อำนวยการสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดใหญ่ ที่ 6 นายวุฒิชัย นรสิงห์ ผู้อำนวยการชลประทาน จ.จันทบุรีและคณะทีมที่ปรึกษารายงานความคืบหน้าการพัฒนาโครงการผันน้ำจากพื้นที่ จ.จันทบุรีไปยังแหล่งเก็บกักน้ำ จ.ระยอง เพื่อเสริมความมั่นคงในการบริหารจัดการน้ำต้นทุน ของภาคตะวันออก เนื่องจากอ่างเก็บน้ำประแสร์จะเป็นศูนย์กลางของการผันน้ำ เพื่อป้อนไปยังอ่างเก็บน้ำต่างๆได้แก่ ดอกกรายหนองปลาไหล คลองใหญ่เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคตะวันออก ที่จะมีการขยายตัวที่เกิดจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งใน การลงทุน การท่องเที่ยว และภาคเกษตรรวมถึงการขยายตัวของจำนวนประชากรที่มีความต้องการใช้น้ำเพื่ออุปโภคและบริโภคเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ภาคตะวันออก (จ.ชลบุรี จ.จันทบุรี และ จ.ระยอง) เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลาย มีพื้นที่ทำการเกษตรที่อุสมสมบูรณ์ไปด้วยสวนผลไม้ โดยเฉพาะทุเรียนที่รายได้ให้กับประเทศ รวมทั้งภาคการท่องเที่ยว และภาคอุตสาหกรรม ที่มีความจำเป็นที่ต้องสร้างความมั่นคงด้านน้ำ ซึ่งศักยภาพของอ่างเก็บน้ำประแสร์จ.ระยอง เป็นต้นแบบการบริหารจัดการน้ำแบบครบวงจร โดยการสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการพัฒนาโครงการ เพื่อให้สอดรับความต้องการใช้น้ำของทุกภาคส่วน รวมถึงการจัดแหล่งน้ำต้นทุนเพิ่ม เพื่อสร้างความมั่นคงให้เพียงพอ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเมื่อปี 2548 ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้น และสามารถถอดบทเรียนมาวางแผนการพัฒนาได้ทั้งระบบ” นายเฉลิมเกียรติ กล่าว
จ.ระยองสภาพภูมิศาสตร์และภูมิอากาศจะมีปริมาณน้ำฝนที่น้อยในช่วงฤดูฝน เมื่อเทียบจ.จันทบุรี-ตราด ทำให้กรมชลฯ ได้ดำเนินการตามมติของ คณะรัฐมนตรี โดยเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2552 มีมติให้ดำเนินโครงการผันน้ำจากพื้นที่ จ.จันทบุรี ป้อนน้ำเข้าอ่างเก็บน้ำประแสร์ จ.ระยอง ปัจจุบันอ่างมีความจุ 297 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งจะเป็นศูนย์กลาง หรือ ฮับ กระจายน้ำสู่พื้นที่ภาคตะวันออกเพื่อรองรับกิจกรรมการใช้น้ำในภาคต่างๆ ทั้งอุปโภค บริโภค การเกษตร อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยวซึ่งเป็นการบริหารจัดน้ำโดยการผันน้ำส่วนเกินมาสนับสนุนสร้างน้ำต้นทุนจ.ระยอง
ด้านนายเกรียงศักดิ์ พุ่มนาค ผู้อำนวยการส่วนบริหารจัดการน้ำและบำรุงรักษาสำนักงานชลประทานที่ 9 กล่าวว่าความคืบหน้าแผนการบริหารจัดการน้ำเพื่อการผันน้ำจากพื้นที่ จ.จันทบุรี ไปสู่อ่างเก็บน้ำประแสร์จ.ระยองสามารถดำเนินการโดยผันน้ำส่วนเกิน จากอ่างเก็บน้ำที่กรมชลฯ ซึ่งปัจจุบันมีแผนพัฒนาขึ้น 4 แห่งปัจจุบัน อ่างเก็บน้ำคลองประแกด เป็นอ่างแห่งแรกที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และมีโครงการอยู่ระหว่างก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ 2 แห่ง ประกอบด้วย อ่างเก็บน้ำคลองหางแมว และ อ่างเก็บน้ำคลองพะวาใหญ่ ส่วนโครงการ อ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด เป็นอ่างเก็บน้ำที่ 4 ที่อยู่ระหว่าง การขอใช้พื้นที่เพื่อการก่อสร้าง หลังจากการพัฒนาโครงการแล้วเสร็จ ทำให้มีขีดความสามารถในการกักเก็บน้ำ ทั้งระบบ ที่ไหลจากเทือกเขา ใน อ.แก่งหางแมว ไหลผ่าน อ.นายายอาม และ ประตูระบายน้ำวังโตนด ที่มีพื้นที่ลุ่มน้ำประมาณ 1,839.1 ตร.กม.และยังมีปริมาณน้ำที่ไหลลงทะเลมากกว่าปีละ 1,000 ล้าน ลบ. ทำให้มีปริมาณน้ำมีเพียงพอในการกักเก็บเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค ในจ.จันทบุรี รวมถึงการผันน้ำไปยังจ.ระยอง
ปัจจุบันกรมชลประทานได้ดำเนินการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ จ.จันทบุรี จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำคลองประแกด ซึ่งก่อสร้างเสร็จแล้ว ความจุ 60.25 60.26 ล้าน ลบ.ม. อ่างเก็บน้ำคลองพะวาใหญ่ ความจุ 68.10 ล้าน ลบ.ม. และ อ่างเก็บน้ำคลองหางแมว ความจุ 80.70 ล้าน ลบ.ม. อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ขณะที่อีกแห่งหนึ่ง คือ อ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด มีความจุ 99.5 ล้านลบ.ม. และอยู่ระหว่างการขอใช้พื้นที่จากกรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะมีความจุรวม 308.56 ล้าน ลบ.ม. สามารถส่งน้ำให้พื้นที่รับประโยชน์ทั้งสิ้น 267,800 ไร่ รองรับความต้องการน้ำเพื่อผลิตน้ำประปาได้อีกปีละ 45 ล้าน ลบ.ม. และผันน้ำส่วนเกินไปยังอ่างเก็บน้ำประแสร์ได้ถึงปีละประมาณ 70 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งนอกจากจะเป็นเสริมแหล่งน้ำต้นทุนแล้วยังสนับสนุนพื้นที่เพาะปลูกสวนผลไม้ใน จ.ระยอง และแหล่งน้ำดิบสำรองที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมในเขต จ.ระยอง และ จ.ชลบุรี
“โครงการดังกล่าวมีการวางระบบท่อผันน้ำพร้อมอาคารประกอบจากคลองวังโตนด จ.จันทบุรี ไปยังอ่างเก็บน้ำประแสร์ จ.ระยอง โดยมีการตั้งสถานีสูบน้ำพร้อมเครื่องสูบน้ำ อยู่บริเวณคลองวังโตนด บ้านวังประดู่ ต.สามพี่น้อง อ.แก่งหางแมว มี ใช้เครื่องสูบน้ำชนิด Horizontal Split Case สามารถสูบน้ำได้ รวม 5 ลบ.ม./วินาที จำนวน 9 เครื่อง พร้อมโครงข่ายระบบท่อส่งน้ำ โดยแนวท่อส่งน้ำขนาด 1.80 ม. วางขนานไปตามทางถนนมีความยาวรวมทั้งสิ้น 45.7 กม. เพื่อป้อนอ่างเก็บน้ำประแสร์ รองรับความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก”นายเกรียงศักดิ์ กล่าว
นายสุรชัย นำนาผล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานระยอง กล่าวถึงภาพรวมการใช้น้ำใน จ.ระยอง ว่า ปริมาณการใช้น้ำใน จ.ระยอง ร้อยละ 50 อยู่ในภาคอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้ให้กับจังหวัดและประเทศร้อยละ 20 ด้านอุปโภค-บริโภคของพี่น้องประชาชน ร้อยละ 20 ด้านการเกษตรที่เป็นลูกค้าสำคัญ และร้อยละ 10 ด้านการรักษาระบบนิเวศ ทั้งนี้จะให้ความสำคัญตามนโยบายของรัฐบาลในการรักษาระบบนิเวศท้ายน้ำในฤดูแล้งท้ายสุดอยู่ที่การทำความเข้าใจว่าภาคส่วนจะต้องเดินไปด้วยกัน อย่างไรก็ตามปัจจุบันปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ ทั้งลุ่มน้ำประแสร์ ลุ่มน้ำคลองใหญ่ มีปริมาณน้ำร้อยละ 80 มั่นใจว่าในปี 2565 สามารถข้ามผ่านฤดูแล้งไปได้มีปริมาณน้ำเพียงพอสำหรับภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม อุปโภค -บริโภค และท่องเที่ยว
-(016)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี