1ชม.ปิดเกมมือฉก ‘สุวรรณภูมิ’ใช้เทคโนโลยีตามจับคนร้ายลักทรัพย์ในสนามบิน
16 มีนาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาพวงจรปิดภายในอาคารผู้โดยสารชั้น 1 ประตู 4 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้บันทึกภาพขณะที่ผู้เสียหายรายหนึ่ง ซึ่งเป็นพนักงานเข็นรถเข็นกระเป๋าสัมภาระภายในสนามบิน เดินเอาโทรศัพท์มือถือส่วนตัวมาวางเสียบสายชาร์จไว้ที่เครื่องโทรศัพท์สาธารณะบริเวณดังกล่าว ก่อนจะออกไปทำธุระบริเวณอื่น ผ่านไปไม่กี่นาทีภาพวงจรปิดมุมเดิม จับภาพชายคนหนึ่งคนสวมชุดสีดำ เดินเข้ามาทำทีใช้โทรศัพท์สาธารณะในจุดดังกล่าว ก่อนจะตีเนียนก้มหยิบโทรศัพท์ของผู้เสียหาย แล้วเดินออกจากอาคารผู้โดยสารไป
หลังเกิดเหตุไม่นานผู้เสียหายกลับมาจะเอาโทรศัพท์ที่เสียบชาร์จไว้ แต่ไม่พบ จึงรีบเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการพิเศษท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิดและติดตามจับกุมตัวคนร้าย โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 15 มีนาคม 2565
นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้รับรายงานเรื่องนี้ จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการพิเศษ ฝ่ายรักษาความปลอดภัย และชุดสืบสวนนอกเครื่องแบบของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บูรณาการฝ่ายสืบสวน สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เร่งติดตามตัวคนร้ายรายนี้ให้ได้โดยเร็ว โดยแกะรอยผู้ก่อเหตุจากกล้องวงจรปิดติดตามตัว จนกระทั่งพบว่าหลังก่อเหตุคนร้ายได้เดินไปที่บัสเทอมินอล เพื่อเตรียมขึ้นรถหลบหนี
ฝ่ายเทคนิคของสนามบินจึงใช้กล้องพิเศษตรวจหาคนร้ายรายนี้ จนกระทั่งพบตัวว่านั่งที่เก้าอี้รอผู้โดยสารอยู่ในจุดรอผู้โดยสาร จึงวิทยุสั่งการให้ฝ่ายรักษาความปลอดภัยเข้าควบคุมตัวและขอตรวจค้น ทราบชื่อนายสุวิทย์ อายุ 41 ปี ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งตอนแรกเจ้าตัวปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้เอาไป และไม่ยินยอมให้ค้นตัว เจ้าหน้าที่เชิญตัวออกมาด้านนอกและนำหลักฐานจากภาพวงจรปิดทั้งหมดให้ดู จึงยอมรับว่าก่อเหตุจริงและหยิบเอาของกลางเป็นโทรศัพท์มือถือที่ซ่อนในกระเป๋ากางเกง พร้อมกับสายชาร์จ ส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยแจ้งข้อหาว่า ลักทรัพย์ในท่าอากาศยาน หรือรับของโจร ซึ่งมีโทษจำคุกสูงถึง 5 ปี
นายกิตติพงศ์ กล่าวว่า ปัจจุบันสนามบินสุวรรณภูมิ มีการเข้มงวดมาตรการรักษาความปลอดภัยและดูแลทรัพย์สินให้กับผู้โดยสารเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะช่วงการแพร่ระบาดของสถานการณ์โควิด ซึ่งจะมีผู้โดยสารใช้บริการภายในสนามบินค่อนข้างน้อย จึงเป็นโอกาสให้มิจฉาชีพและคนร้ายเลือกเข้ามาก่อเหตุเพราะไม่มีคนพลุกพล่าน อีกทั้งปัจจุบันมีการนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ เช่น กล้องวงจรปิดที่สามารถคอนโทรลติดตามตัวผู้ต้องสงสัยในจุดสำคัญตามเส้นทางต่างๆ เพื่อง่ายต่อการไล่ล่าตัวคนร้ายเมื่อเกิดเหตุ เคสนี้ก็เช่นกันจะเห็นได้ว่าเจ้าหน้าที่เราสามารถใช้เวลาในการติดตามจับกุมคนร้ายได้ในเวลาเพียง 1 ชั่วโมงเศษเท่านั้น จึงฝากประชาสัมพันธ์ผู้โดยสารที่เข้ามาใช้บริการภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หากประสบเหตุการณ์ใดๆ ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยใกล้ตัวได้ทันที เนื่องจากสนามบินสุวรรณภูมิ ปัจจุบันเรามีชุดเฉพาะกิจพิเศษที่จะเฝ้าคอนโทรลกล้องวงจรปิดและตะเวนตรวจตราภายในอาคารผู้โดยสารและพื้นที่รับผิดชอบภายในสนามบินสุวรรณภูมิ
-005