วงเสวนาเผยข้อห่วงใจหลังปลดล็อกกัญชา ชี้สูบเป็นประจำนานเป็นปีส่งผลไอคิวต่ำ สมองเสื่อม เนื้อสมองฝ่อ ซึมเศร้า จิตหลอนหูแว่วประสาทหลอน บางคนคิดว่าตัวเองเป็นนก เลยกระโดดตึก ทั้งยังสร้างสารก่อมะเร็งมากกว่าสูบบุหรี่ และกระตุ้นให้เสียชีวิตกะทันหันได้ เผย 3 ปี ตั้งแต่เริ่มก่อร่างกัญชาเสรี พบเด็กเยาวชนทั่วประเทศลองสายเขียวเพิ่มขึ้นมากถึง 2 เท่า ผู้ป่วยในโรคที่เกิดจากสารเสพติดเพิ่มขึ้น อึ้งครูทางเหนือวอนให้ความรู้ ลูกศิษย์ถือครอบครองกัญชาเพื่อสูบเพียบ
เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 65 ที่โรงแรมแชงกรีลา กรุงเทพฯ ศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโปรแกรมฝึกอบรมพัฒนานักวิจัยด้านสารเสพติดมหาวิทยาลัยเยล ประเทศสหรัฐอเมริกา จัดเสวนาวิชาการด้านยาเสพติด กรณีผลกระทบจากการใช้กัญชา
รศ.พญ.รัศมน กัลยาศิริ ผู้อำนวยการ ศศก. กล่าวว่า หลังวันที่ 9 มิถุนายน เป็นต้นมา มีข้อห่วงใยจากหลายภาคส่วน โดยพบรายงานการเกิดโรคจิต การเกิดอาการเป็นพิษจากการใช้กัญชาทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ตัวเลขจาก ศศก. พบเยาวชนสูบกัญชาสูงขึ้นราวสองเท่า และผลเบื้องต้นพบการวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวกับสารเสพติดทั้งหมดยกเว้นสุราและบุหรี่ว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 29.56% ในแบบผู้ป่วยนอก และ 44.33% ในรูปแบบผู้ป่วยใน ในช่วงปี 2020-2021 เทียบกับตอนก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายกัญชา สวนทางกับจำนวนผู้รับการบำบัดยาเสพติดโดยตรงทุกชนิดที่ลดลง
ด้าน นพ.อภิศักดิ์ วิทยานุกูลลักษณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธัญญารักษ์แม่ฮ่องสอน กล่าวว่า ตัวเลขผู้เข้าสู่ระบบการรักษากรณียาเสพติดทุกชนิด ปี 2561 ประมาณ 248,000 คน ปี 2562 ประมาณ 263,000 คน ปี 2563 ซึ่งเริ่มมีการระบาดโรคโควิดพบประมาณ 220,000 คน ปี 2564 พบ 170,000 คน ส่วนปี 2565 ถึงตอนนี้พบ 86,000 คน อย่างไรก็ตามเนื่องจากช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 มีการปรับบริการในโรงพยาบาล บุคลากรต่าง ๆ จะเน้นไปที่โรคโควิดเยอะ ถือเป็นความแปรปรวนที่ทำให้ตัวเลขที่ออกมาไม่สะท้อนกับความเป็นจริง หรือต่ำกว่าการคาดการณ์ความชุก แต่ตัวที่สะท้อนได้ดีคืออันตรายจากยาเสพติด เช่น อันตรายต่อตัวเอง ต่อสังคม มีการคลุ้มคลั่ง ก้าวร้าว ก่ออาชญากรรม การเสียชีวิตจากการน็อคยา การเมาสุรา กัญชา เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมาจะพบข้อมูลส่วนนี้ราวๆ 2-5 % ที่เป็นข่าว
นพ.อภิศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของกัญชาที่มีการปลดออกจากยาเสพติดในปี 2561 พบคนเข้ารับบำบัดกัญชา 5.57% ปี 2562 คิดเป็น 6.89% ส่วนปี 2563 ที่ถูกกระทบจากโควิดลดเหลือ 4.8 % ปี 2564 เหลือ 4.2% ส่วนปี 2565 จนถึงตอนนี้พบ 4% ทั้งนี้คนที่เข้ารับการบำบัดกัญชา เมื่อเกิดปัญหาเสียการทำงาน เสียการเรียน ส่วนที่เสพแล้วยังไม่เกิดปัญหา หรือถูกรับรู้น่าจะพอสมควร อย่างการปลดล็อควันที่ 9 มิถุนายน ที่ผ่านมา คงไม่เห็นผลทันที ต้องใช้เวลา ดังนั้นในช่วงสุญญากาศทุกฝ่ายต้องให้ข้อมูลทั้งด้านดี ด้านร้ายของกัญชา อย่างจริงใจ แสดงถึงความห่วงใย ให้แก่กลุ่มเปราะบางได้ทราบและตัดสินใจ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ซึ่งตอนนี้พบว่ามีคุณครูจากโรงเรียนทางภาคเหนือติดต่อมาขอให้ไปให้ความรู้กับเด็ก ๆ จำนวนมาก เพราะพบเด็กครอบครองกัญชาในรูปแบบการสูบเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเด็กหัวโจก
ส่วน ผศ.นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า สาร THC ในกัญชาเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตหลัก ๆ 3 กรณีคือ 1.สาเหตุโดยตรงจากการกินกัญชาเกินขนาด ซึ่งเจอน้อย แต่มักเจอในเด็กที่เผลอกินกัญชาเข้าไป 2.กระตุ้นให้เกิดอาการบางอย่างจนเสียชีวิตได้ มีการไปกระตุ้นหัวใจและหลอดเลือด แม้สูบ 1 ครั้ง มีโอกาสเป็นโรคหัวใจ ที่ต้องสวนหัวใจถึง 5 เท่า เทียบกับคนไม่สูบ 3. ผลข้างเคียงจากการใช้กัญชา ทำให้เกิดโรคจิตเวช หูแว่วประสาทหลอน บางคนคิดว่าตัวเองเป็นนก เลยกระโดดตึก หรือการใช้กัญชาทำให้มึนเมา เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุได้ เป็นต้น ดังนั้นต้องมีการควบคุมให้เข้มข้นกว่านี้ ต้องไม่น้อยกว่าประเทศที่บอกว่ามีการใช้เสรีนันทนาการที่มีการควบคุมเข้มข้น เช่น กำหนดปริมาณการปลูกในครัวเรือน ทำมิดชิด กำหนดปริมาณครอบครองในที่สาธารณะ ห้ามสูบในที่สาธารณะ แต่ของไทยตอนนี้ไม่คุมอะไรเลย เพราะปลดออกจากยาเสพติดก่อนที่กฎหมายควบคุมจะออกมา ดังนั้นตนสนับสนุนแถลงการณ์เครือข่ายนักวิชาการ ในช่วงสุญญากาศให้คืนสถานะกัญชาเป็นยาเสพติด และทำกฎหมายให้เข้มข้น มีการทำประชามติ
ขณะที่ ศ.นพ.สิริชัย ชยสิริโสภณ นักประสาทวิทยา และนักวิจัยการใช้กัญชาทางการแพทย์ จากรัฐ California USA กล่าวว่า ไม่ว่าจะสูบกัญชาหรือบุหรี่ สิ่งที่เหมือนกันคือมีการเผาไหม้และมีควัน ควันที่เข้าสู่ปอด มีน้ำมันดิน หรือทาร์ ซึ่งน้ำมันดินจากการเผาไหม้ของการสูบกัญชาเข้าสู่ปอด พบมากกว่า 4 เท่าของการสูบบุหรี่เมื่อเปรียบเทียบจำนวนน้ำหนักที่เท่ากัน เหตุผลเพราะการสูบกัญชา ต้องสูบเข้าปอดลึกกว่าบุหรี่ และการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์จากการสูบกัญชา ส่งผลสร้างสารก่อมะเร็งมากกว่าสูบบุหรี่
"อาการของผู้เสพกัญชาเป็นครั้งคราว ขึ้นกับจำนวน THC ในกัญชา อาการระยะแรก กระตุ้นประสาท กลายเป็นคนร่าเริง ช่างพูด หัวเราะง่าย หัวใจเต้นเร็ว ตื่นเต้นง่าย มึนเมาอ่อน ๆ อาการต่อมา กดประสาท มีอาการง่วง ซึมลง อาจเห็นภาพลวงตา ภาพหลอนต่าง ๆ อาการมากขึ้น หูแว่ว ตกใจง่าย วิตกกังวล หวาดระแวง ความคิดสับสน ควบคุมตนเองไม่ได้ แต่ถ้าคนที่สูบกัญชาเป็นประจำเป็นปี ๆ มีโอกาสเกิดผลกระทบกับสมองมากขึ้น จากงานวิจัยของต่างประเทศหลายชิ้นพบว่า ไอคิวต่ำลง ความจำเสื่อม การเรียนรู้เชื่องช้า ตัดสินใจผิดพลาด อาการเฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น เกิดอาการทางจิต เช่น มีความหวาดกลัว ซึมเศร้า จิตหลอน"ศ.นพ.สิริชัย กล่าว
นอกจากนี้ยังมีการวิจัย คนที่ไม่สูบกัญชา แต่อยู่ร่วมกับคนสูบกัญชาเป็นเวลา 3 ชั่วโมง พบว่ามีปริมาณ THC สูงในเลือด และมีบางคนอยู่ร่วมกับกลุ่มคนสูบกัญชาที่มีปริมาณ THC 11.3% เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ตรวจพบมีสาร THC ในปัสสาวะ ส่วนการใช้น้ำมันกัญชา ที่มีสาร THC มากกว่า 0.3% ทั้งกินทั้งหยอด เป็นประจำจะมีผลกระทบแบบเดียวกับการสูบกัญชาเป็นประจำหรือไม่นั้น ยังไม่มีการวิจัยที่แน่นอน
ด้าน นายอำนาจ เหล่ากอที ผู้อำนวยการกองกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กล่าวว่า แม้ตอนนี้จะยังไม่มีกฎหมายควบคุมการใช้กัญชาที่เป็นรูปธรรม แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือเด็กเยาวชนเป็นสำคัญ เพราะสุดท้ายแล้วกัญชาต้องอยู่ภายใต้มาตรการกรอบของกฎหมาย ป้องกันปัญหานำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี