ผลวิจัยพบ‘ปาก-ทวารหนัก’ช่องทางติด‘ฝีดาษลิง’ ห่วง‘ชายรักชาย’แนะเลี่ยงเพศสัมพันธ์เสี่ยง
18 ส.ค. 2565 สำนักข่าว NBC News สหรัฐอเมริกา เสนอรายงานพิเศษ Sex between men, not skin contact, is fueling monkeypox, new research suggests ว่าด้วยผลการศึกษาที่ชี้ว่า “พฤติกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัย” เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อ “ฝีดาษลิง (Monkeypox)” มากกว่าการสัมผัสทางผิวหนัง พร้อมเตือนให้ระมัดระวังการมิเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มชายรักชาย
อนิรุทธา ฮาซรา (Aniruddha Hazra) ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ คลีนิกเพื่อสุขภาพทางเพศทีดี มหาวิทยาลัยชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ กล่าวว่า การระบาดของฝีดาษลิงในปัจจุบัน พบเชื้อไวรัสที่ก่อโรคปนอยู่ในน้ำอสุจิ ดังนั้น บรรดานักวิทยาศาสตร์จึงเรียกร้องให้ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (CDC) ตลอดจนหน่วยงานด้านสาธารณสุข ปรับปรุงกลยุทธ์การสื่อสารเพื่อเน้นย้ำในพฤติกรรมที่เป็นความเสี่ยง โดยเฉพาะในกลุ่มชายที่เป็นเกย์ (ชายรักชาย) และที่เป็นไบเซ็กชวล (รักได้ทั้งชายและหญิง) ซึ่งพบว่าเป็นสัดส่วนใหญ่ของผู้คิดเชื้อทั้งหมดในสหรัฐฯ
ในวันที่ 14 ส.ค. 2565 เจฟฟรีย์ เคลาส์เนอร์ (Jeffrey Klausner) แพทย์โรคติดเชื้อ มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย รัฐแคลิฟอร์เนีย และ เล่า-จื้อ อัลลัน-บลิทซ์ (Lao-Tzu Allan-Blitz) แพทย์ประจำบ้าน โรงพยาบาล Brigham and Women's Hospital ในสังกัดโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ เผยแพร่บทความทางวิชาการผ่านเว็บไซต์ Medium ที่ชี้ว่า การมีเพศสัมพันธ์ทั้งทางปากและทางทวารหนัก เป็นพฤติกรรมเสี่ยงต่อโรคฝีดาษลิง โดยเฉพาะในกลุ่มชายรักชาย
บทความวิชาการดังกล่าวซึ่งมุ่งเน้นไปที่พฤติกรรมทางเพศ ให้เหตุผลดังนี้ 1.จากข้อมูลองค์การอนามัยโลก (WHO) พบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั่วโลก มากกว่า 3 ใน 4 เป็นเพศชายอายุเฉลี่ย 18-44 ปี นอกจากนั้น ในการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้เกี่ยวกับผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงในกลุ่มเกย์และไบเซ็กชวล พบว่า ร้อยละ 17-32 ของผู้ติดเชื้อ ยังพบการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) ในเวลาเดียวกัน
2.ในการระบาดทั่วโลกพบความไม่ปกติหากเปรียบเทียบกับสิ่งที่เคยพบในการระบาดใน 11 ประเทศในทวีปแอฟริกา ซึ่งไวรัสดังกล่าวได้กลายเป็นโรคประจำถิ่นตั้งแต่พบครั้งแรกในมนุษย์เมื่อปี 2513 โดยพบร่องรอยของโรคฝีดาษลิงส่วนใหญ่เกิดขึ้นทวารหนักและอวัยวะเพศชาย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เป็นจุดแรกที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย อนึ่ง ในการศึกษาชายทื่ติดเชื้อฝีดาษลิง 197 คนในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์อังกฤษอย่าง The BMJ เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2565 พบร้อยละ 56 มีรอยโรคบริเวณอวัยวะเพศ และร้อยละ 42 ที่บริเวณทวารหนัก
เช่นเดียวกับงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์สหรัฐฯ อย่าง The New England Journal of Medicine พบกลุ่มตัวอย่างผู้ชายที่ติดเชื้อฝีดาษลิง 538 คน ในจำนวนนี้ร้อยละ 73 มีรอยโรคที่อวัยวะเพศหรือทวารหนัก และ 3.นักวิจัยพบเชื้อฝีดาษลิงในน้ำอสุจิและสามารถนำมาเพาะเชื้อได้ ซึ่งบ่งชี้ว่าสามารถแพร่เชื้อได้ นอกจากนี้ ผู้เผยแพร่งานวิจัย 2 ชิ้นล่าสุดยังพบไวรัสจากการตรวจหาทางทวารหนักในผู้ชายที่ติดเชื้อฝีดาษลิงแต่ไม่แสดงอาการ ซึ่งเป็นไปได้ว่าไวรัสอาจแพร่ผ่านทางทวารหนักระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ อย่างไรก็ตาม ข้อค้นพบดังกล่าวยังต้องศึกษาเพิ่มเติม
เคลาส์เนอร์ ให้ข้อสรุปว่า นักวิทยาศาสตร์ตั้งข้อสังเกตพุ่งเป้าไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมทางเพศกับการพบรอยโรคฝีดาษลิง ถึงกระนั้น ในแวดวงวิชาการก็มีข้อถกเถียง อาทิ โรซามุนด์ เลวิส (Rosamund Lewis) หัวหน้าฝ่ายเทคนิคด้านโรคฝีดาษลิง องค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่า เป็นโชคร้ายแต่ก็เป็นเรื่องจริง ที่ยังไม่ทราบว่าการระบาดของฝีดาษลิงส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์หรือไม่
ซึ่งการอ่านสถานการณ์อย่างสมบูรณ์ว่าด้วยลักษณะเฉพาะเนื่องจากการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักหรือทางปาก มีแนวโน้มสูงว่าจะถูกเพ่งเล็งมากเกินไป ความสัมพันธ์อาจจะถูกแข็งแรง แต่ก็ไมได้อธิบายภาพรวมของโรคที่เกิดจากไวรัสนี้ ดังนั้นต้องเปิดใจให้กว้าง ทั้งนี้ ของเหลวในร่างกาย ไม่ว่าน้ำอสุจิ (ชาย) น้ำในช่องคลอด (หญิง) และเลือด ปัจจุบันกำลังมีการศึกษากันอยู่ว่าของเหลวเหล่านี้สามารถแพร่เชื้อฝีดาษลิงได้หรือไม่
ยังมีงานวิจัยที่ได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการของอังกฤษอย่าง The Lancet เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2565 อ้างถึงกลุ่มตัวอย่าง 181 รายในประเทศสเปน ที่พบว่า ร้อยละ 38 ของผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก พบอาการอักเสบที่บริเวณไส้ตรง โดยมีเพียงร้อยละ 7 ที่ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ในลักษณะดังกล่าวแล้วมีอาการ นอกจากนี้ยังพบด้วยว่า ร้อยละ 95 ของผู้ชายที่มีอาการต่อมทอนซิลอักเสบ ก็พบการมีเพศสัมพันธ์ทางปากกับผู้ชายด้วยกัน
ออริออล มิทฮา (Oriol Mitja) ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ โรงพยาบาล Germans Trias i Pujol Hospital ในสเปน ซึ่งร่วมเขียนบทความเผยแพร่ใน The Lancet ดังกล่าว ระบุว่า ฝีดาษลิงสามารถแพร่เชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อรอยโรคสัมผัสกับเยื่อเมือกในบริเวณทวารหนัก อวัยวะเพศ ปากและลำคอ มากกว่าแพร่เชื้อผ่านการสัมผัสผิวหนังภายนอก ซึ่งการแพร่เชื้อจะมีประสิทธิภาพได้ต่อเมื่อผิวหนังที่สัมผัสนั้นมีบาดแผล
ดิมี โอโกอินา (Dimie Ogoina) ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการแพทย์โรคติดเชื้อ มหาวิทยาลัย Niger Delta ประเทศไนจีเรีย ให้ความเห็นว่า งานวิจัยของ มิทฮา สนับสนุนความเชื่อมโยงระหว่างพฤติกรรมทางเพศของกลุ่มชายรักชายกับโรคฝีดาษลิง ถึงกระนั้นตนก็ย้ำว่า ข้อค้นพบข้างต้นไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงหรือคู่รักชาย-หญิงทั่วไปจะไม่มีความเสี่ยง หรือเยื่อบุของอวัยวะเพศหญิงจะไม่มีแนวโน้มเกิดรอยถลอกระหว่างมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ ในการระบาดทั่วโลก มองว่าเป็นเรื่องของตัวเลข ยิ่งมีคู่นอนมากเท่าใด ก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นเท่านั้น
ด้าน พอล อดัมสัน (Paul Adamson) ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ โรงเรียนแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (UCLA) รัฐแคลิฟอร์เนีย ให้ความเห็นว่า ตนไม่แน่ใจว่าจะบอกได้หรือไม่ว่าสาเหตุหลักของการแพร่เชื้อมาจากพฤติกรรมทางเพศ ไม่ใช่การสัมผัสทางผิวหนังที่ก็เกิดขึ้นเช่นกันระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ที่เป็นสาเหตุให้เกิดการระบาดมากที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่เกิดขึ้นใหม่ดูเหมือนจะบ่งชี้ว่า โรคฝีดาษอาจติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเห็นต่างกัน อาทิ เลวิส จากองค์การอนามัยโลก ยังคงให้น้ำหนักกับการสัมผัสทางผิวหนัง เป็นสาเหตุหลักในการระบาดของฝีดาษลิง (ซึ่งรวมถึงขณะมีเพศสัมพันธ์) แต่ เคลาส์เนอร์ และ อดัมสัน มองว่า การที่หลายคนต่อต้านแนวคิดว่าฝีดาษลิงที่ระบาดในปัจจุบันส่วนใหญ่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นเพราะมันแตกต่างไปจากการระบาดของฝีดาษลิงในระลอกก่อนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
อดัมสัน ยังกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาสาเหตุในการระบาดของฝีดาษลิงคือการติดต่อทางผิวหนัง แม้จะมีข้อเสนอบางประการที่ชี้ให้เห็นถึงการระบาดผ่านการมีเพศสัมพันธ์ด้วยเช่นกันในระลอกก่อนๆ ซึ่งก็ต้องใช้เวลาและข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อพลิกความเข้าใจในการติดต่อ ทั้งนี้ มีผู้ติดเชื้อฝีดาษลิง 38,019 คนใน 93 ประเทศในการระบาดระลอกปัจจุบัน ตามรายงานของ CDC ขณะที่องค์การอนามัยโลก รายงานว่า ในบรรดาผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยัน ร้อยละ 97 เป็นเกย์ ไบเซ็กชวล รวมถึงกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย
ความสอดคล้องของจำนวนผู้ติดเชื้อในกลุ่มประชากรดังกล่าว นำไปสู่มุมมองของผู้เชี่ยวชาญที่ชี้ว่า เป็นหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับไวรัสสามารถแพร่กระจายได้ผ่านพฤติกรรมเฉพาะของกลุ่ม นั่นคือการมีเพศสัมพันธ์ทางปากและทางทวารหนัก ขณะเดียวกัน ท่ามกลางการระบาดทั่วโลก ไวรัสก็ยังแพร่เชื้อในรูปแบบเดียวกับการแพร่เชื้อในทวีปแอฟริกา แต่ผู้เชี่ยวขาญก็ยืนยันว่า ในการแพร่เชื้อฝีดาษลิงกรณีที่ไม่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศ ไวรัสนั้นก็มีประสิทธิภาพในการแพร่เชื้อลดลง และด้วยอัตราที่ใกล้เคียงกับการระบาดที่ค่อนข้างช้าในแอฟริกา
งานวิจัยที่ได้รับการเผยแพร่ใน The New England Journal of Medicine ประมาณการว่ามีเพียงร้อยละ 0.8 ของผู้ติดเชื้อที่ผู้วิจัยวิเคราะห์ ติดเชื้อจากการสัมผัสใกล้ชิดที่ไม่เกี่ยวกับเพศ และร้อยละ 0.6 เกิดจากการติดเชื้อในครอบครัว ในทางตรงข้าม ร้อยละ 95 ของผู้ติดเชื้อกลุ่มดังกล่าวน่าจะเกิดขึ้นจากการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายด้วยกัน เช่นเดียวกับงานวิจัยใน Lancet ที่ระบุว่า ร้อยละ 3 ของผู้ติดเชื้อที่วิเคราะห์ ติดเชื้อผ่านการติดต่อในครอบครัวที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องเพศ
โมนิกา คานธี (Monica Gandhi) แพทย์ด้านโรคติดเชื้อ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เมืองซานฟรานซิสโก กล่าวถึงเด็กที่ติดเชื้อฝีดาษลิงที่พบทั่วโลก สาเหตุการติดเชื้อน่ามาจากการกอด โดยชี้ไปที่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งบางครั้งก็สามารถติดต่อได้โดยไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ เช่น เริม ซิฟิลิส แผลริมอ่อน ซึ่ง 2 โรคหลังนี้มักพบในเด็กซึ่งอาศัยในภูมิภาคเขตร้อน ซึ่งมักมีรอยถลอกตามแขน-ขา
รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า หากฝีดาษลิงที่ระบาดกันทั่วโลกขณะนี้ส่วนใหญ่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และไม่ได้ติดต่อกันง่ายๆ มิทฮา มองว่า นั่นจะเป็นความท้าทายของหลักเกณฑ์ด้านสาธารณสุขที่แนะนำให้กักตัวผู้ติดเชื้อจนกว่าจะได้รับการรักษาจนหาย ส่วน เคลาส์เนอร์ กล่าวว่า หากยอมรับว่าเพศสัมพันธ์คือพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดการแพร่เชื้อและติดเชื้อ นั่นเท่ากับการต้องสร้างความตระหนักรู้ โดยไม่ควรมีเพศสัมพันธ์แบบเปลี่ยนคู่นอนหลายคนจนกว่าจะได้รับวัคซีน แต่หากไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้ก็ต้องใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพื่อให้การระบาดลดลง
คริสเต็น นอร์ดลันด์ (Kristen Nordlund) โฆษกของ CDC เปิดเผยว่า ผลการวิเคราะห์ล่าสุดของ CDC แสดงให้เห็นว่า ผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ เกี่ยวข้องกับทั้งเรื่องเพศและการสัมผัสใกล้ชิด ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่หลากหลาย จำเป็นต้องวิเคราะห์เพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจว่า พฤติกรรมทางเพศและการสัมผัสใกล้ชิดเฉพาะที่เกิดขึ้นระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ มีส่วนทำให้เกิดการะบาดอย่างไม่เป็นสันส่วนหรือไม่
ยังมีความกังวลว่า หากสื่อสารความสัมพันธ์ระหว่างการติดเชื้อฝีดาษลิงกับพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศในกลุ่มชายรักชาย อาจทำให้สังคมตีตรารังเกียจประชากรกลุ่มนี้ได้ แต่ในมุมมองของ เล่า-จื้อ อัลลัน-บลิทซ์ เห็นว่า การเก็บเงียบไม่เปิดเผยเรื่องวิธีการติดต่อของไวรัสก็ทำให้เกิดอันตรายได้เช่นกัน เพราะนั่นเท่ากับว่า ผู้คนจะถูกทำให้ยังอยู่กับความเสี่ยง แทนที่จะเข้าใจวิธีการที่พวกเขาจะสามารถป้องกันตนเองจากโรค
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี