‘อ.เสรี’ เตือนปีนี้น้ำท่วมใหญ่เหมือนปี54 ชี้ 3 เดือนนี้ฝนมาหนักมากของจริง จี้ ‘ผู้ว่าฯชัชชาติ’ บอกข้อมูลชาว กทม.ให้ชัดเจน อาจมีพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมสูง 1 เมตร ระบุ ค.ศ.2100 ‘กรุงเทพฯ’ จมทะเลหายไปจากแผนที่โลก เตรียมย้ายเมืองหลวง
30 สิงหาคม 2565 รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในช่วง 3 เดือนนี้ คือ เดือนกันยายน , ตุลาคม และพฤศจิกายน ประเทศไทยจะมีปริมาณฝนตกหนักมากขึ้น และระยะเวลายาวขึ้น ซึ่งไม่รู้ว่าพายุจะเข้าช่วงไหน จากที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าพายุปีนี้อาจเข้าไทย 2-3 ลูก อาจจะมีโอกาสเป็นฝนในรอบ100 ปี เพราะดูจากสถานการณ์ฝนที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เป็นฝนรอบ 80 ปี ซึ่งกรุงเทพฯสมัย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นผู้ว่าฯ กทม. เคยมีฝนตกรอบ100 ปี และปัจจุบันโอกาสจะเกิดฝนตกหนักเช่นนั้นก็มีมาก ดูจากสถานการณ์ฝนปีนี้ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ดังนั้นสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่เหมือนปี 2554 มีโอกาสเป็นไปได้สูง เพราะปริมาณน้ำฝนเท่ากัน
อย่างไรก็ตาม ลักษณะการท่วมแตกต่างจากปี 2554 ที่มาเร็วจากน้ำหลาก และการระบายน้ำออกจากเขื่อนใหญ่ ซึ่งปีนี้จะมาจากน้ำฝน แนวพายุเข้าที่อาจจะเลื่อนมาภาคกลาง ทำให้น้ำเต็มทุ่งจนล้นเข้ามาท่วมพื้นที่เศรษฐกิจ เขื่อนป่าสักฯน้ำเต็มเขื่อน ระบายน้ำลงมาฝั่งตะวันออก หากน้ำเอ่อท้นมาถึงคลองรังสิต และส่วนทางฝั่งตะวันตก
“น้ำล้นคลองพระยาบรรลือเมื่อไรให้คนกรุงเทพฯ เตรียมป้องกันตัวเองก่อน เพราะพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล พื้นที่หน่วงน้ำมีน้อย ภาครัฐอาจต้องทำความเข้าใจล่วงหน้ากันว่ามีพื้นที่ถูกท่วมสูงประมาณ 1 เมตร ทั้งนี้ในส่วนรัฐบาลเองขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลที่จะชี้แจงต่อประชาชนอย่างชัดเจนว่ารับมืออย่างไร มีเพียง 13 มาตรการตามเดิมที่ป้องกันอะไรไม่ได้ เช่น ปี2564 น้ำท่วม จ.พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี ปทุมธานี ประชาชนก็เกิดความขัดแย้ง ประท้วงปิดถนน ไม่ต้องการให้ระบายน้ำเข้าพื้นที่และให้เร่งระบายออก เพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ลงไปทำความเข้าใจก่อนเกิดเหตุ” รศ.ดร.เสรี กล่าว
รศ.ดร.เสรี กล่าวว่า ปีนี้มีเหตุการณ์ 3 ปัจจัยหลัก คือ เดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน ฝนตกหนักมากจริงๆและยาวนาน อีกทั้งพายุที่จะเข้าไม่ทราบว่าจะเข้าช่วงไหน อาจจะรู้ล่วงหน้าได้ประมาณ 10 วัน และปริมาณฝนตกเท่าไร รวมทั้งพื้นที่ทุ่งลุ่มเจ้าพระยา รับน้ำใช้เป็นพื้นที่หน่วงน้ำ ชาวนาจะเก็บเกี่ยวข้าวได้หมดภายใน 15 วันนี้หรือไม่ ถ้าต้องผันน้ำเข้าทุ่งความเสียหายจะเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน เป็นสิ่งสำคัญที่รัฐบาลต้องทำฉากทัศน์จำลองเหตุการณ์ไว้ล่วงหน้าหลายๆแบบ แล้วนำข้อมูลออกมาบอกให้ประชาชนเข้าใจจะได้ไม่เกิดกรณีประท้วง ไปปิดประตูระบายน้ำ
“สำหรับนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. จะต้องชี้แจงข้อมูล เปิดเผยแผนการรับมือต่างๆให้คนกรุงเทพฯรับทราบและเกิดความเข้าใจถึงสถานการณ์ฝนที่จะตกหนักมากขึ้นต่อเนื่องจากนี้เพื่อให้เตรียมป้องกันตนเองก่อน รัฐบาลด้วยอย่ารอใช้แต่มาตรการเยียวยาช่วยเหลือเพราะการป้องกันย่อมดีกว่าปล่อยให้ประชาชนทะเลาะกันเอง อย่ากลัวว่าจะตื่นตระหนก ซึ่งคนที่ตื่นตระหนกคือคนที่รอดเพราะทุกคนล้วนเคยมีประสบการณ์จากปี 54มาแล้ว” รศ.ดร.เสรี กล่าว
รศ.ดร.เสรี กล่าวว่า องค์กรนานาชาติด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก ได้ทำแผนที่พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล พบว่า จะจมหายไปจากแผนที่โลกในปี ค.ศ.2100 แบบ 100% เพราะระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน ขณะนี้ได้ขึ้นรหัสโค้ชเรด เตือนประเทศไทยแล้ว ถ้ารัฐบาลยังไม่ตัดสินใจทำอะไรป้องกันก็ต้องเตรียมย้ายเมืองหลวงได้เลย เพราะหากตัดสินใจวันนี้จะใช้เวลาอีก 30 ปีกว่าจะแก้ไขได้ เช่นทำเขื่อนปิดอ่าว ทำพนังกั้น ทำประตูกันน้ำทะเล ไม่ว่าจะเป็นประเทศเนเธอร์แลนด์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ซึ่งแต่ละประเทศได้ทำการป้องกันตั้งแต่ 30 ปีก่อน และจนปัจจุบันจึงจะสำเร็จทั้งในการแก้ข้อขัดแย้งกับประชาชนกลุ่มต่างๆที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งของไทย ก็สามารถทำเขื่อนกันน้ำทะเลจากพัทยาไปถึงชะอำ จ.เพชรบุรี และให้เอกชน ประชาชน มาร่วมกันพัฒนาพื้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว หรือเขตอุสาหกรรมสะอาด เหมือนกับเกาหลีใต้ พัฒนาพื้นที่ในอ่าวเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้โซล่าเซลล์ เพราะน้ำในอ่าวที่อยู่ในเขื่อนจะกลายเป็นน้ำจืด ก็จะกระทบกับกลุ่มประมงพื้นบ้าน ประมงชายฝั่ง
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี