ปิดศูนย์ฯบางซื่อ
‘อนุทิน’ลั่นชัยชนะโควิด
ยันคนไทยใช้ชีวิตปกติได้
สธ.ลุยอัดฉีดวัคซีนทั่วปท.
เก็บตกเกิน60ปีอีก1.9ล.คน
เมื่อวันที่ 30 กันยายน ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) รายงานสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด -19 ประจำวัน ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตลดลงต่อเนื่องว่า ไทยมีผู้ป่วยรักษาตัวในโรงพยาบาลรายใหม่ 839 ราย เป็นผู้ป่วยในประเทศ 839 ราย ผู้ป่วยจากต่างประเทศ 0 ราย ผู้ป่วยสะสมนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จำนวน 2,457,874 ราย หายป่วยกลับบ้าน 733 ราย หายป่วยสะสมนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 จำนวน 2,473,589 ราย กำลังรักษา 6,462 ราย จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 480 ราย เสียชีวิต 9 ราย เสียชีวิตสะสมนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 จำนวน 11,066 ราย
โควิดเข้าหลังระบาดใหญ่-โคมาตายลด
ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมนพ.ณรงค์ อภิกุลวนิช ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 6 และพญ.ป่านฤดี มโนมัยพิบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร(กทม.) ร่วมแถลงข่าวแผนบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโควิด-19 หลังเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวังตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม
นพ.โสภณกล่าวว่า ขณะนี้เป็นระยะท้ายของการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยอาการหนักและผู้เสียชีวิตน้อยลง โดยมีผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาล (รพ.) อาการปอดอักเสบ 480 ราย ลดจาก 2 สัปดาห์ก่อนที่มี 650 ราย ใส่เครื่องหายใจลดจาก 331 ราย เหลือ 263 ราย เสียชีวิต ต่ำกว่า 2 หลัก ทั้งนี้ ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 7 วัน ลดลงต่อเนื่องทุกตัวเลข อย่างไรก็ตาม ผู้เสียชีวิต 9 รายใหม่ยังคงเป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับวัคซีนโควิด 5 ราย คิดเป็นร้อยละ 56 และไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น 4 ราย
ลุยฉีดวัคซีนต่อรพ.สต.รับผิดชอบ
ทั้งนี้ หลังวันที่ 1 ตุลาคม โควิดเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง สธ.อยู่ระหว่างวางแผนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งเป้าให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้สะดวก โดยเฉพาะระบบของ สธ.จะให้บริการฉีดได้ตั้งแต่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) รวมถึงจัดหาวัคซีนรุ่นใหม่ให้เพียงพอ
นพ.โสภณยังกล่าวถึงการฉีดวัคซีนของไทยตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ว่า ล่าสุดฉีดสะสม 143 ล้านโดส คนไทยได้วัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม ร้อยละ 82 รับเข็มที่ 2 ร้อยละ 77 และเข็มที่ 3 ร้อยละ 46 จึงต้องดำเนินการต่อเนื่องในเดือนตุลาคม
วัคซีนลดยอดตายได้4.9แสนคน
นพ.โสภณยังแถลงผลศึกษาผลดีที่ได้รับการจากฉีดวัคซีนตามการจำลองแบบคณิตศาสตร์ พบว่า วัคซีนป้องกันเสียชีวิตในประเทศไทยได้ประมาณ 4.9 แสนราย แบ่งเป็น ปี 2564 จำนวน 382,600 ราย ปี 2565 อีก 107,400 ราย ซึ่งช่วยประหยัดค่ารักษาพยาบาลจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม การที่ไทยป้องกันการเสียชีวิตได้มาก เพราะนโยบายฉีดวัคซีนมีประสิทธิภาพ เน้นกลุ่มบุคลากรแพทย์ กลุ่มเสี่ยง 608 ให้รับวัคซีนเป็นลำดับต้นๆ รวมถึงฉีดในพื้นที่ระบาดรุนแรงเพื่อลดติดเชื้อ ที่สำคัญไทยมีมาตรการป้องกันอื่นคู่กับการฉีดวัคซีน เช่น สวมหน้ากากอนามัย โดยอัตราเสียชีวิตต่อล้านคนของไทยอยู่ที่ 467 ราย เมื่อนำตัวเลขเทียบกับประเทศที่มีประชากรใกล้เคียงไทย พบว่า การเสียชีวิตของไทยน้อยกว่ามาก เช่น อังกฤษ 2,765 ราย ฝรั่งเศส 2,364 ราย มาเลเซีย1,092 ราย
ฉีด4เข็มลดป่วยหนัก-ตายได้100%
“กองระบาดศึกษาประสิทธิภาพการฉีดวัคซีนเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม พบว่า การฉีด 2 เข็มป้องกันป่วยหนักร้อยละ 60 ตายร้อยละ 72 แต่ถ้ารับ 4 เข็ม ป้องกันป่วยหนัก ใส่เครื่องช่วยหายใจ และตาย ได้ร้อยละ 100 ซึ่งข้อมูลผู้เสียชีวิตรายสัปดาห์วันที่ 18-24 กันยายนรวม 72 ราย อยู่ในกลุ่ม 608 ทั้งร้อยละ 100 และพบว่า ไม่ได้รับวัคซีน 37 ราย คิดเป็นร้อยละ 51.39 จากการคำนวณประโยชน์การฉีดวัคซีนเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์พบว่า ลดเสียชีวิตในผู้สูงอายุถึง 41 เท่า เมื่อเทียบกับคนไม่ได้รับวัคซีน”นพ.โสภณกล่าว และย้ำว่า ไทยมีผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี อีก 1,954,496 ล้านคน ยังไม่ได้รับวัคซีน จึงขอรณรงค์ให้ไปรับวัคซีน โดยเฉพาะวันที่ 1 ตุลาคม ที่มีการผ่อนคลายมาตรการมากขึ้น จำเป็นต้องรับวัคซีนและรับเข็มกระตุ้นในกลุ่มเสี่ยง หากฉีดเข็มที่ 3 นานกว่า 3 เดือน ต้องไปรับเข็มที่ 4 เพื่อลดการเสียชีวิต
ย้ำหลัง1ตค.ใส่แมสก์-เว้นระยะยังจำเป็น
นพ.โสภณยังกล่าวถึงการปรับมาตรการใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม โดยผู้ที่ป่วยระบบทางเดินหายใจ ยังต้องเข้มงวดมาตรการป้องกัน DMH คือ เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากและล้างมือ ส่วน ประชาชนทั่วไป ให้สวมหน้ากากเมื่ออยู่ในที่แออัด เช่น ขนส่งสาธารณะ รพ. สถานที่ดูแลผู้สูงอายุและเด็กเล็ก ขณะที่ สถานประกอบการ ให้คัดกรองพนักงานเฉพาะผู้มีอาการป่วย ถ้าพบป่วยเป็นกลุ่มก้อนให้แจ้งหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่
ทั่วปท.ฉีดเข็ม3ยังน้อยแค่40%
ด้านนพ.ณรงค์ อภิกุลวนิช ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 6 กล่าวเพิ่มเติมว่า การรับวัคซีนโควิดเข็มที่ 3 ภาพรวมประเทศยังครอบคลุมไม่สูง ยังอยู่ที่ร้อยละ 40 ฉะนั้น ยังมีช่องว่างที่จะทำให้ประชาชนปลอดภัยมากขึ้น หากแบ่งเป็นเขตสุขภาพ 1-12 พบว่า เขตสุขภาพที่ 8, 11 และ 12 ที่ฉีดเข็มกระตุ้นในทุกกลุ่มประชากรยังไม่ถึงร้อยละ 40 อย่างไรก็ตาม ความพร้อมสถานพยาบาลให้บริการวัคซีนได้เตรียมวัคซีนทุกแพล็ตฟอร์มไว้ตั้งแต่ รพ.สต.เพียงพอและกระจายทุกจุดบริการทุกจังหวัด จะลงพื้นที่ฉีดผ่านกลไกอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) มีหน่วยบริการเคลื่อนที่สำหรับผู้ป่วยติดเตียง เปิดนัดหมายในรพ.และสามารถปูพรมฉีดในพื้นที่ระบาดได้ นอกจากนั้น ยังมีบริการฉีดภูมิคุ้มกันระยะยาว (LAAB) กลุ่มเฉพาะโดยเฉพาะผู้บกพร่องในการสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันต่อเนื่องประมาณ 6 เดือน ขณะที่เด็ก 6 เดือน-4 ปี สามารถรับวัคซีนไฟเซอร์ฝาแดง ตามความสมัครใจ 3 เข็ม กรณีติดเชื้อแล้วให้เว้น 3 เดือนนับจากวันพบเชื้อ แล้วไปรับวัคซีน 3 เข็ม โดยไม่ต้องตรวจเชื้อก่อนวัคซีน
กทม.ฉีดวัคซีนสะสม27.8ล.โดส
พญ.ป่านฤดี มโนมัยพิบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร (กทม.)แถลงความคืบหน้าการฉีดวัคซีนในกรุงเทพมหานคร (กทม.)ว่า กรุงเทพมหานครฉีดสะสมถึง 27.8 ล้านโดส ฉีดเข็มที่ 2 ร้อยละ 110.82 และเข็มที่ 3 ร้อยละ 70 ทั้งนี้ กทม.กำหนดเป้าหมายฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ในกลุ่มอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 70 ปัจจุบันฉีดแล้วร้อยละ 69.85 ขณะเดียวกัน การฉีดในกลุ่ม 608 ก็สูงถึงร้อยละ 68.83 หลังวันที่ 1 ตุลาคมกทม.ก็ยังให้บริการวัคซีนตามความสมัครใจต่อเนื่อง จึงเปิดบริการนัดหมายและวอล์กอิน (Walk in) เช่น ศูนย์บริการสาธารณสุขทั้ง 68 แห่ง, รพ.ในสังกัด กทม.ทุกแห่ง ยังให้บริการตามปกติ ศูนย์ฉีดวัคซีนกีฬาเวสน์ 2 ไทย-ญี่ปุ่นดินแดง เปิดทุกวัน ระหว่างเวลา 8.00-16.00 น.
ปิดศูนย์ฯบางซื่อฉีดสะสม6.5ล.โดส
วันเดียวกัน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข (สธ.) พร้อมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และพญ.มิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนังและศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ร่วมพิธีปิดศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ หลังศูนย์ฉีดวัคซีนฯดังกล่าวเปิดให้บริการฉีดวัคซีนมานานกว่า 1 ปี โดยนายอนุทินกล่าวว่า ศูนย์วัคซีนกลางบางซื่อฉีดวัคซีนได้ 6.5 ล้านโดส ให้ประชาชน 3.3 ล้านคน สำหรับการรับวัคซีนหลังจากนี้ ประชาชนยังเข้าฉีดได้ในสถานพยาบาลทุกแห่ง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อไป
ประกาศชัยชนะคุมระบาดโควิดได้
“ศูนย์ฯบางซื่อเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สถานการณ์โควิดอยู่ในระดับควบคุมได้ ผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยอาการหนัก และผู้เสียชีวิตมีแนวโน้มลดลง จึงมาร่วมกันส่งเจ้าหน้าที่ทุกคนทั้งภาครัฐและเอกชน จาก 251 หน่วยงาน จิตอาสารวมกันกว่า 7,000 คน ที่มาร่วมบริการประชาชนในศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ที่ถือเป็นฮีโร่ในสถานการณ์โควิด ให้ได้กลับที่ตั้ง ถือเป็นการประกาศความสำเร็จในการต่อสู้ กับโควิด ซึ่งจากนี้ประชาชนยังรับวัคซีนได้ปกติที่สถานพยาบาลทุกแห่ง “นายอนุทินกล่าว
สั่งสสจ.-อสม.ตีปี๊บฉีดเข็มกระตุ้นสูงอายุ
นายอนุทินยังให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงการฉีดวัคซีนโควิดในกลุ่มผู้อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปกว่า 1.9 ล้านคน ที่ยังไม่ได้วัคซีนว่า สธ.ประสานเครือข่ายในพื้นที่ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) เร่งรณรงค์ผู้ที่ยังไม่รับวัคซีนเข้ารับวัคซีนด่วนที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะวัคซีนเป็นทางออก ไม่ให้เกิดความสูญเสีย ทั้งนี้ ฝ่ายวิชาการ สธ. ติดตามข้อมูลผู้ฉีดวัคซีนเข็ม 3-4 ถึงจะติดเชื้อแต่อาการไม่รุนแรง และไม่มีผู้เสียชีวิต ขอให้ทุกคนไปฉีดเข็มกระตุ้นโดยเฉพาะผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี ผู้มีโรคประจำตัว
ให้ใช้ชีวิตปกติ-ใส่แมสก์ตามความเสี่ยง
ผู้สื่อข่าวถามว่า การใช้ชีวิตของประชาชนหลังวันที่ 1 ตุลาคม มีคำแนะนำอย่างไร โดยเฉพาะการสวมหน้ากาก นายอนุทินกล่าวว่า เราประเมินความเสี่ยงได้ว่า หากเราอยู่ในครอบครัวสามารถใช้ชีวิตให้ปกติมากที่สุดได้ แต่ถ้าเข้าสถานที่เสี่ยงก็สวมหน้ากากอนามัย หรือหากเป็นพื้นที่ที่เว้นระยะห่างได้สามารถถอดหน้ากากได้ วันนี้เราฉีดวัคซีนกันมากแล้ว ดังนั้น อย่าไปกลัว ให้ใช้ชีวิตแบบปกติจริงๆ รวมถึงฉีดวัคซีนให้ครบ หากฉีดเข็มที่ 3 นานเกิน 4 เดือนสามารถมารับเข็มที่ 4 ได้ และควรพาผู้สูงอายุไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้น
ทำงาน477วันครอบคลุมปชช.3.3ล้านคน
ด้านพญ.มิ่งขวัญกล่าวเพิ่มเติมว่า ศูนย์วัคซีนฯ บางซื่อ เปิดบริการตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2564 เพื่อฉีดวัคซีนโควิดให้กลุ่มผู้ขนส่งสาธารณะในกระทรวงคมนาคม โดยวันนี้ศูนย์ฉีดวัคซีนฯ ดำเนินการมาเป็นวันที่ 477 ฉีดวัคซีนแล้วประมาณ 6.5 ล้านโดส ครอบคลุมประชาชน 3.3 ล้านคน อัตราเกิดอาการไม่พึงประสงค์หลังรับวัคซีนเพียงร้อยละ 0.05
ยันพร้อมกลับมาเปิดได้ภายใน1วัน
“ระดับความพึงพอใจของประชาชนสูงถึงร้อยละ 90 นับเป็นความสำเร็จและแสดงให้เห็นถึงศักยภาพความร่วมมือทำงานทั้งจิตอาสา เจ้าหน้าที่รัฐ เอกชนและภาคประชาสังคม รวม 251 องค์กร การถอดบทเรียนศูนย์วัคซีนฯ บางซื่อเป็นหลักประกันว่า ระบบสาธารณสุขของไทยพร้อม มีศักยภาพเพียงพอรับมือและฝ่าวิกฤตโรคระบาดในอนาคตได้ อย่างไรก็ตาม ถึงจะปิดศูนย์ฉีดวัคซีนบางซื่อไปแล้ว แต่ยังมีการเตรียมแผน 1 Day Re-activate รองรับกรณีจำเป็นต้องกลับมาเปิดใหม่ เช่น การระดมฉีดวัคซีนรุ่นใหม่ ซึ่งศูนย์ฉีดวัคซีนฯต้องเปิดได้ภายใน 1 วัน”พญ.มิ่งขวัญกล่าว
ไทยพบแล้ว4โควิดเจน3BA.2.75.2
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์เฟซบุ๊ก “Center for Medical Genomics”ระบุ โควิดเจเนอเรชัน 3 โอมิครอน BA.2.75.2 พบแล้วในไทยรวม 4 ราย ส่วนโอมิครอน BQ.1.1 เหลนของ BA.5 พบทั่วโลกเพิ่มเป็น 228 ราย จากฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมโควิดโลก “GISAID” พบโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2.75.2 ในไทยเพิ่มรวมเป็น 4 ราย โดยทั่วโลกพบเพิ่มเป็น 729 ราย โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2.75.2 ที่กลายพันธุ์เพิ่มเติมจาก BA.5 บนส่วนหนามถึง 13 ตำแหน่ง โอไมครอน BA.2.75.2 ได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาดประมาณ 71% เมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุ์ BA.5 ที่ระบาดอยู่ทั่วโลกตอนนี้
BA.5ยังยึดพื้นที่-จับตาBQ.1.1ช่วงหนาว
ศูนย์จีโนมฯยังระบุด้วยว่า จากฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมโควิดโลก GISAID ยังไม่พบโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BQ.1.1 ในประเทศไทย แต่ทั่วโลกพบเพิ่มเป็น 228 ราย โอมิครอน BQ.1.1 ทั่วโลกเพิ่มจาก 136 ราย เมื่อ 7 วันก่อนเป็น 228 ราย BQ.1.1 เป็นเหลนของโอมิครอน BA.5 ซึ่งกลายพันธุ์ 3 ตำแหน่งสำคัญ
ส่งผลให้อนุภาคไวรัสเข้าจับกับผิวเซลล์มนุษย์ได้ดี เพื่อแทรกเข้าภายในเซลล์เพื่อเพิ่มจำนวน นอกจากนี้ ยังช่วยหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันเป็นเลิศ ส่งผลให้ดื้อต่อแอนติบอดีสำเร็จรูปทุกชนิดที่องค์การอาหารและยาสหรัฐ ให้ใช้ได้ รวมทั้งแอนติบอดีค็อกเทลอย่างเอวูเชลด์ (Evusheld) และ เบบเทโลวิแมบ (Bebtelovimab)
“คงต้องเฝ้าติดตามช่วงเข้าฤดูหนาวของทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาเหนือ ตั้งแต่เดือนธันวาคม กับการผ่อนคลายมาตรการไม่สวมหน้ากากอนามัย ไม่เว้นระยะห่าง จะก่อให้เกิดการระบาดของโอมิครอน BA.2.75.2 หรือ BQ.1.1 หรือไม่ หรือ BA.5 ยังคงระบาดครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่เปิดโอกาสให้โอมิครอนสายพันธุ์ย่อยที่กลายพันธุ์ไปมากกว่าสามารถเข้ามาแทนที่ และถูกกำจัด (elimination) ไปด้วยวัคซีนเข็มกระตุ้น หรือภูมิที่ได้รับจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ”ศูนย์จีโนมฯระบุ
รบ.ย้ำป่วยโควิดสีแดงใช้ยูเซฟได้
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการดูแลผู้ป่วยโควิดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยืนยันการรักษาพยาบาลได้ตามสิทธิฟรี ทั้งสิทธิบัตรทอง สิทธิข้าราชการ และสิทธิประกันสังคม ดูแลรักษาตามอาการและดุลยพินิจแพทย์
รายละเอียด มีดังนี้ 1.รักษาแบบเจอ แจก จบ กรณีไม่มีอาการ ยังรักษาในรูปแบบเทเลเฮลธ์ผ่าน 4 แอปพลิเคชันได้ตามปกติ โดยพบแพทย์ทางไกล วินิจฉัยอาการ และจัดส่งยาทางไปรษณีย์ 2.รับยารักษาโควิดตามอาการที่ร้านยาที่เข้าร่วมโครงการกับ สปสช. ดูรายชื่อร้านยาที่เข้าร่วมโครงการได้ที่ https://www.nhso.go.th/downloads/197 3.ยกเลิกแจกชุดตรวจ ATK ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง หากไปโรงพยาบาลแพทย์พิจารณาให้ตรวจคัดกรอง จะไม่มีค่าใช้จ่าย 4.ผู้ป่วยหนักรับการรักษาเป็นผู้ป่วยในในโรงพยาบาลตามสิทธิ
5.การใช้สิทธิ UCEP Plus กระทรวงสาธารณสุขปรับปรุงหลักเกณฑ์ UCEP Plus ใหม่ มีผล 1 ตุลาคม โดยกำหนดให้เฉพาะผู้ป่วยโควิดที่มีอาการป่วยวิกฤต (สีแดง) สามารถใช้สิทธิ UCEP Plus เข้ารักษาได้ที่รพ.ทุกแห่ง โดยไม่มีเงื่อนไข 72 ชั่วโมงแรก ซึ่งต้องมีอาการเจ็บป่วยวิกฤตตามเกณฑ์ UCEP Plus เช่น มีภาวะหัวใจหยุดเต้น ทางเดินหายใจอุดกั้น หายใจหอบเหนื่อย มีภาวะอาการระบบทางเดินหายใจรุนแรง ไม่สามารถหายใจได้ ช็อก ความดันโลหิตต่ำ หรืออาการอื่นที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ ส่วนผู้ป่วยโควิดอาการสีเหลือง เช่น กลุ่ม 608 ที่ไม่มีอาการ จะไม่ครอบคลุมสิทธิ UCEP Plus แต่สามารถเข้ารักษาที่สถานพยาบาลตามสิทธิสุขภาพของตนได้ ทั้งนี้ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) มีศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต เป็นหน่วยประสานระหว่างประชาชนและสถานพยาบาล ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและให้ข้อมูล สอบถามโทร.0-2872-1669
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี