ปปช.ลุย 3 คดีทุจริต
ลุ้นชงชุดใหญ่ชี้ขาดจีทูจีมันเส้น
ยันฟัน‘ชนม์สวัสดิ์’ปมเงินวัด
ยึดทรัพย์‘ผกก.โจ้’ 1.3 พันล้าน
เลขาฯป.ป.ช.เผยคดีมันเส้นจีทูจียุค “อภิสิทธิ์-ยิ่งลักษณ์” ไต่สวนเสร็จแล้ว รอชงที่ประชุมใหญ่ชี้ขาด ยันเสร็จพร้อมคดีระบายข้าวจีทูจี ย้ำเรื่องใหญ่ต้องให้องค์ประชุมครบก่อน ชี้อย่างช้าไม่เกินปลายปีนี้ พร้อมแจงมติชี้มูล “เอ๋ - ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม” สมัยนั่งนายกอบจ.สมุทรปราการ กับพวก คดีพิรุธเงินอุดหนุนวัดพบ 20 โครงการผิดปกติ 338 ล้านบาท ขณะเดียวกัน มติชี้มูลผู้กำกับโจ้ ร่ำรวยผิดปกติ 1,358 ล้านบาท อสส.ยื่นฟ้องศาลอาญาคดีทุจริตแล้ว พร้อมรับไต่สวนเพิ่มปมจับรถหรูเบิกสินบนรางวัล
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.) ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าการพิจารณาคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ภาค 2 ที่กล่าวหา นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ นายทักษิณ ชินวัตร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย หลังมีกระแสข่าวเตรียมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่เพื่อพิจารณาภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ว่า ไม่สามารถตอบรายละเอียดได้ ต้องรอองค์ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ครบวันไหน เนื่องจาก พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.มีนโยบายว่าเรื่องนี้เป็นคดีใหญ่ สมควรให้องค์ประชุมครบ แต่เชื่อว่าน่าจะเสร็จทันปลายปี 2565 เช่นเดียวกับคดีจีทูจีอื่นๆ เช่น คดีระบายมันสำปะหลัง (มันเส้น) แบบจีทูจีก็แล้วเสร็จเช่นกันทั้ง 2 สำนวน เตรียมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ แต่ยังไม่ทราบรายละเอียด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีระบายมันสำปะหลังแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ที่ป.ป.ช.กำลังไต่สวนนั้นเกิดขึ้นใน2 รัฐบาลคือ 1.รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ลักษณะพฤติการณ์ความผิดเป็นการซื้อขายแป้งมันสำปะหลังกับบริษัท China Marine Shipping Agency Lianyungang Co., Ltd ขายราคาต่ำกว่าเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด รวมถึงบริษัท China Marine ยังไม่ได้รับมอบอำนาจจากจีน และวัตถุประสงค์ของบริษัทไม่ใช่การซื้อขายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร จึงถือว่าไม่ใช่บริษัทที่มีอำนาจลงนามทำสัญญาในนามของประเทศจีน นอกจากนี้ ยังโอนสิทธิให้บริษัทเอกชนประเทศไทย เข้ามาซื้อขายแป้งมันสำปะหลังแทนด้วย
2.รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรณีนี้ทำสัญญาซื้อขายมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลังแบบจีทูจี และมอบอำนาจให้ชำระเงินและรับมอบแล้วกลุ่มนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ “เสี่ยเปี๋ยง” นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ ร่วมกับกลุ่มบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มเอกชนอีก 2 แห่งนำมันสำปะหลังดังกล่าวขายต่อบุคคลต่างๆ หรือกระทำการที่เกี่ยวข้อง ในฐานะผู้ติดต่อกับสถาบันการเงินให้สั่งจ่ายแคชเชียร์เช็ค ในฐานะผู้ซื้อแคชเชียร์เช็ค ในฐานะเจ้าของบัญชีผู้เป็นเจ้าของเงินที่นำไปซื้อแคชเชียร์เช็ค เจตนาต้องการให้สั่งจ่ายแคชเชียร์เช็ค ด้วยการระบุให้สั่งจ่ายกรมการค้าต่างประเทศ แล้วนำไปชำระตามสัญญาซื้อขายแบบจีทูจีที่ทำขึ้น เพื่อจะได้มันสำปะหลัง และผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลังซึ่งอยู่ในความครอบครองขององค์การคลังสินค้า (อคส.) ไปเป็นกรรมสิทธิ์
ฟัน“เอ๋ ชนม์สวัสดิ์”ปมเงินอุดหนุนวัด
นายนิวัติไชยยังแถลงความคืบหน้ากรณีชี้มูลความผิดนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม อดีตนักการเมืองเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สมุทรปราการ กับพวก คดีเงินอุดหนุนวัดใน จ.สมุทรปราการว่า เป็นการร่วมกันทำผิดระหว่างนายชนม์สวัสดิ์กับพวก โดย ป.ป.ช.มีมติตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนพบว่า นายชนม์สวัสดิ์เมื่อครั้งเป็นนายก อบจ. กับพวกอนุมัติเบิกจ่ายเงินวัดในสมุทรปราการจริง รวม 68 โครงการ รวม 856 ล้านบาทเศษ ซึ่งเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้วัดในช่วงดังกล่าว
ต่อมา ป.ป.ช.พบว่ามีอย่างน้อย 20 โครงการ วงเงินประมาณ 338 ล้านบาท ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า มี นายปกรณ์ เนตรประภา เป็นกรรมการบริษัท เอเวอร์กรีน เอ็กซ์พลอเรอร์ จำกัด เป็นผู้แทนของกลุ่มผู้ถูกกล่าวหา มีความสนิทสนมกับผู้บริหาร อบจ. จะแสดงตนเป็นตัวแทนของ อบจ.เพื่อประสานงานกับวัดว่าวัดต้องการเงินอุดหนุนจาก อบจ.หรือไม่ เพื่อนำไปก่อสร้างเมรุ หรือศาลาการเปรียญหรือไม่ จึงจัดทำคำขอ แบบแปลน ให้เจ้าอาวาสวัดต่างๆ ลงนาม และรวบรวมเอกสารยื่นให้อบจ.สมุทรปราการ
สำหรับพฤติการณ์คดีนี้ เมื่ออบจ.ได้รับคำขอแล้ว ผู้ถูกกล่าวหา ได้แก่ นายอำนวย รัศมิทัต เป็นนายก อบจ.ปี 2554 นายชนม์สวัสดิ์ เป็นนายก อบจ. ปี 2555-2556 ร่วมกับ นายมนัส บุญอารีย์ เป็นปลัด อบจ. ระหว่างปี 2554-2555 และ นายสายัณฑ์ รักษนาเวศ เป็นปลัด อบจ. ระหว่างปี 2556 พร้อมนายวิชัย จันทร์จำรูญ ผอ.กองการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม นายชัยยศ ตั้งจิตดำรงรัตน์ ผอ.กองช่าง และ นายอนุวัต ควรคิต ผอ.ฝ่ายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ตั้งงบประมาณรายจ่ายเงินอุดหนุน ผลักดันเสนอโครงการดังกล่าวเข้าสภา อบจ. โดยไม่ได้ตรวจสอบรายละเอียดโครงการ ไม่มีการตรวจสอบแบบแปลน และราคาประมาณก่อสร้างว่า ถูกต้อง เหมาะสมกับงบประมาณที่ขอมาหรือไม่ กระทั่งประกาศจัดทำโครงการ จนอนุมัติเบิกจ่ายเงินให้แก่วัดที่ขอมา
ต่อมา ในขั้นตอนรับเงินอุดหนุน เมื่ออบจ.อนุมัติแล้ว นายปกรณ์จะแจ้งทางวัดทราบล่วงหน้า เพื่อนัดหมายเจ้าอาวาสรับเช็คเงินอุดหนุน ในวันเดียวกันนายปกรณ์ร่วมเจ้าอาวาส หรือผู้แทนของวัดขึ้นเงิน พร้อมเบิกเงิน มอบเงินส่วนหนึ่งให้นายปกรณ์ครึ่งหนึ่ง จากนั้นบริษัท เอเวอร์กรีน ที่นายปกรณ์เป็นกรรมการ เข้ามารับจ้างโครงการที่ได้รับเงินอุดหนุนดังกล่าว
ละเว้นปฎิบัติหน้าที่ผิดม.157/ม.151
นายนิวัติไชยกล่าวอีกว่า กระบวนการเริ่มต้นถึงจบ ผู้แทนกลุ่มผู้ถูกกล่าวหาคือบริษัทผู้รับเหมา หลังอบจ.ได้อนุมัติเงินอุดหนุนไปแล้ว ปรากฏว่าทั้งนายชนม์สวัสดิ์ กับพวก ไม่ตรวจสอบติดตามใช้จ่ายเงินอุดหนุนแต่ละโครงการเป็นไปตามแบบแปลนประมาณราคาหรือไม่ คุ้มค่าเหมาะสมกับเงินอุดหนุนหรือไม่ เหมือนเป็นการให้เงินปล่อยปละละเลย ลักษณะน่าจะร่วมกันเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากเงินอุดหนุนดังกล่าว การดำเนินโครงการทุกโครงการมีปัญหาจากการก่อสร้าง เพราะผู้รับจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญา จ้างช่วง ทิ้งงาน ไม่ตรงแปลน รายการประมาณราคาไม่ถูกต้อง ราชการเสียหายร้ายแรง
“คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่า นายชนม์สวัสดิ์ และนายอำนวย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายก อบจ.สมุทรปราการ มีมูลความผิด ฐานละเลยไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และ 157 ส่วนการกระทำของนายปกรณ์ และบริษัท เอเวอร์กรีน มีความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และ 157 ประกอบมาตรา 86”นายนิวัติไชยกล่าว
ชี้มูลผกก.โจ้รวยผิดปกติ1.3พันล.
นายนิวัติไชยยังแถลงกรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ ร่ำรวยผิดปกติ รวมมูลค่ากว่า 1,358 ล้านบาท ส่งอัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เพื่อขอให้ศาลสั่งยึดทรัพย์สิน ตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งคดีนี้ ป.ป.ช.รับเรื่องไว้ตรวจสอบหลังพ.ต.อ. ธิติสรรค์ กับพวก รวม 7 คน จับกุมนายจิระพงษ์ ธนะพัฒน์ ผู้ต้องหาคดีค้ายาเสพติด มีการเรียกรับเงินแลกกับการไม่ถูกดำเนินคดี และทำความผิดต่อกฎหมาย เป็นเหตุให้ผู้ต้องหาถึงแก่ความตาย เมื่อมีการร้องเรียนสอบสวนและตรวจสอบทรัพย์สินของพ.ต.อ. ธิติสรรค์ พบมีบ้านหลังใหญ่เนื้อที่ 4 ไร่ ครอบครองรถยนต์จำนวนมาก เป็นรถหรูจำนวนหลายคัน มีมูลค่ารวมประมาณ 100 ล้านบาท
ทั้งนี้ ป.ป.ช.พิจารณารายงานการตรวจสอบเบื้องต้นของพนักงานไต่สวนเจ้าของสำนวน และรับเรื่องกรณีพ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ไว้ไต่สวนข้อเท็จจริง พบว่า รายการทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหา ได้แก่ เงินฝากธนาคาร ที่ดินพร้อมบ้านพักอาศัย รถยนต์ และเงินที่ใช้ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์หลายคัน ได้มาโดยไม่สัมพันธ์กับรายได้ และเกินกว่าฐานะและรายได้ที่ได้รับจากราชการจะพึงมี จึงเป็นกรณีที่พ.ต.อ. ธิติสรรค์ ร่ำรวยผิดปกติ ตามนัยมาตรา 4 แห่งพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ รวม 32 รายการ เป็นเงินทั้งสิ้น 1,358,121,750.80 บาท
อสส.ยื่นศาลคดีทุจริตจ่อยึดทรัพย์
“ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็น ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดิน และเมื่อวันที่ 11 พ.ย. อัยการสูงสุด โดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 3 สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางเรียบร้อยแล้ว ให้แจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรณีร่ำรวยผิดปกติ โดยให้ถือว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122”นายนิวัติไชยกล่าว
รับไต่สวนปมจับรถหรูเบิกสินบนรางวัล
และว่า ส่วนกรณี พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ขอเบิกจ่ายเงินสินบนรางวัล จากกรมศุลกากร กรณีจับกุมรถยนต์ลักลอบนำเข้าราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมาย เป็นกรณีความปรากฏว่า ผู้ถูกกล่าวหาขณะเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีพฤติการณ์ทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติรับเรื่องไว้พิจารณาดำเนินการตรวจสอบเบื้องต้น ซึ่งวิธีการทำงานขอตรวจสอบในข้อเท็จจริงก่อน เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นนานแล้วตั้งแต่ปี 2553 ต้องย้อนกลับไปดูเอกสารของศุลกากรว่าเอกสารมีอะไรบ้างซึ่งวันนี้ตำรวจได้ประสานทางการมาเลเซีย ติดต่อขอข้อมูลรถหาย แต่ยอมรับว่าเป็นเรื่องยาก เพราะรถมีมาก400 คัน และการหาเอกสารเกี่ยวข้องนานเกิน 5 ปี ต้องไปค้นหาในโกดัง ตอนนี้จึงยังไม่สามารถให้คำตอบได้ว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับใดบ้างที่เกี่ยวข้องทำผิด เบื้องต้นตั้งสำนวนว่ามีผู้ทำผิด 1 คน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี