ลูกทุน ม.ท.ศ.ตั้งมั่นตอบแทนคุณแผ่นดินสานต่อพระราชปณิธาน 'พระราชา' ในหลวงทรงเป็นดั่งแสงสว่างสร้างชีวิตใหม่
ด้วยพระปรีชาสามารถ และพระราชหฤทัยอันแน่วแน่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเห็นว่าการพัฒนาการศึกษา คือ การสร้างความมั่นคงของประเทศ จึงทรงสนับสนุนด้านการศึกษาให้กับประชาชนได้เรียนรู้สามารถนํามาใช้ประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว รวมถึงสามารถนำความรู้มาพัฒนาสังคมและประเทศชาติได้
ดังนั้น จึงทรงมีพระราชดำริให้ดำเนิน “โครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร” ขึ้นเมื่อปี 2552 โดยให้ทรงนำพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์และเงินบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศล มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามพระราชปณิธานที่มุ่งสร้างความรู้ สร้างโอกาสแก่เยาวชนไทยที่ประพฤติดี มีความสามารถในการศึกษาให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่มั่นคงต่อมาในปี 2553 มีพระราชดำริให้จัดตั้ง “มูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฏราชกุมาร” โดยเรียกย่อว่า(ม.ท.ศ.)” ทรงเป็นองค์ประธานกรรมการ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำโครงการทุนการศึกษาฯ มาอยู่ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิฯ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนสืบต่อไป
ตลอดระยะเวลา 13 ปี ของการดำเนินงานโครงการทุน ม.ท.ศ. น้ำพระราชหฤทัยอันเปี่ยมล้น ได้ส่องประกายสานฝันให้เยาวชนไทยทั่วประเทศ จากรุ่นสู่รุ่น ได้มีอนาคตอันสดใส นักเรียนทุนพระราชทานบางคนจากที่ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้รับการศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ก็กลับมามีความหวังในเส้นทางแห่งอนาคตที่วาดฝันไว้อีกครั้ง บางคนที่ได้รับทุนพระราชทานจนสำเร็จการศึกษาระดับชั้นปริญญาตรีพวกเขาก็พร้อมนำความรู้ความสามารถที่ได้เล่าเรียนกลับไปพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน และประเทศชาติอย่างยั่งยืนสืบไป ดังพระบรมราโชบายที่นักเรียนทุนพระราชทานทุกคนล้วนจำได้อย่างขึ้นใจ ว่า ““เรียนดี ความรู้ดี การงานดี ชีวิตสดใส ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติมีความสุข”
ผู้หมวดบาส-ว่าที่ร้อยตรี อนุรุทธ ด้วงทอง นักเรียนทุนฯ ม.ท.ศ.รุ่นที่ 2 รับราชการตำรวจที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 7 จ.ราชบุรี ตำแหน่งนักวิทยาศาสตร์สัญญาบัตร 1 (นวท.สบ1) เล่าด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ว่า ในชีวิตนี้ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้ศึกษาจนจบระดับชั้นปริญญาตรีเลยด้วยซ้ำแค่ศึกษาจบชั้นมัธยมปลายก็ดีที่สุดแล้ว แต่วันหนึ่งก็มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เกิดขึ้น เมื่อได้รับคัดเลือกให้ได้รับทุนการศึกษาพระราชทาน ม.ท.ศ. และวันนั้นเองก็ได้เห็นรอยยิ้มแห่งความยินดีบนใบหน้าผู้เป็นมารดาอีกครั้ง
“ผมเป็นนักเรียนทุนพระราชทาน ปีการศึกษา 2553 ตอนนั้นทางบ้านฐานะยากจน คุณแม่กับคุณพ่อแยกทางกันตั้งแต่ผมอายุ 2 ขวบ คุณแม่ทำงานคนเดียวเป็นเสาหลักของครอบครัวต้องดูแล 6 ชีวิต ลำบากมาก คุณแม่หาเช้ากินค่ำเป็นแม่ค้า แม่บอกว่าไม่รู้จะมีกำลังส่งเราเรียนได้ถึงระดับไหน แต่เราก็มีความตั้งใจอยากจะศึกษาในระดับที่สูงเท่าที่ครอบครัวจะส่งได้ แต่พออาจารย์ที่โรงเรียนแนะนำให้สมัคร ทุน ม.ท.ศ. ก็รีบสมัครทันที ตอนนั้นเขาคัดเลือกนักเรียนทุนจาก 3 ข้อ คือ เรื่องความประพฤติ ฐานะและความมุ่งมั่นที่จะประกอบอาชีพ ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับคัดเลือก ดีใจมาก ซึ่งเป็นทุนต่อเนื่องที่ส่งเสียจนเรียนจบปริญญาตรี ก็เป็นโอกาสทำให้ผมก้าวมาถึงจุดนี้ ทำให้ชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากแม่ที่เคยเหนื่อยก็ลดภาระการส่งเสียค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา เพราะทุนนี้มีเงินค่าเรียนและค่าครองชีพให้ ซึ่งตรงนี้ช่วยลดภาระแม่ที่ทำงานหนักได้เป็นอย่างดี” หมวดบาส กล่าว
หมวดบาส กล่าวต่อว่า เพราะมีความฝันอันแน่วแน่ที่อยากจะเป็นข้าราชการ เพื่อเป็นฟันเฟืองเล็ก ๆในการช่วยเหลือประเทศชาติและประชาชนเมื่อสำเร็จการศึกษาจากระดับปริญญาตรีและปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สาขาฟิสิกส์ประยุกต์ จึงเลือกเข้าสู่เส้นทางชีวิตข้าราชการที่เคยวาดฝันไว้ และพร้อมน้อมนำพระบรมราโชบายในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานให้แก่นักเรียนทุนทุกคน เมื่อครั้งที่เข้าเฝ้าฯรับพระราชทานทุนมาเป็นหลักยึดในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ
“ชีวิตนี้มีความฝันอยู่สองอย่างคือ เป็นข้าราชการในสายทหารตำรวจกับเป็นข้าราชการครู ตอนแรกก็ไปเป็นอาจารย์ก่อน ใช้ชีวิตในการสอนหนังสือแต่เราก็ยังรักในสายตำรวจก็เลยมาสอบ ได้บรรจุที่หน่วยพิสูจน์หลักฐาน ผมได้น้อมนำกระแสพระราชดำรัสของในหลวงมาใช้ในฐานะข้าราชการตำรวจ คือการผดุงความยุติธรรมเพื่อจะรับใช้ประชาชน ดังนั้นในสายงานของพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ประชาชนจะต้องมีความเดือดร้อนแล้วต้องให้เราช่วยในการแก้ไขปัญหา เพราะเราเอาหลักของวิทยาศาสตร์ไปช่วยคลี่คลายคดีในการเริ่มต้นคดีประกอบสำนวนของพนักงานสอบสวน จะต้องมีพยานหลักฐาน การตรวจเก็บวัตถุพยาน เราก็จะใช้ความรู้จากสาขาฟิสิกส์มาช่วยแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้ สิ่งนี้มันอยู่ในใจของเราอยู่แล้วว่าการทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ เราอาจไม่สามารถช่วยได้ทั้งหมดแต่เราก็สามารถช่วยในสิ่งที่เราทำได้”
ผู้หมวดบาส ยังเล่าต่อว่า ทุนการศึกพระราชทาน ม.ท.ศ. เปรียบเสมือนกับน้ำทิพย์ มาหล่อเลี้ยงชีวิตต่อลมหายใจให้ตนและครอบครัวได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
“ทุนพระราชทานนี้ไม่ใช่แค่ได้กับผมคนเดียว แต่ปัจจุบันผมสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้เพราะฉะนั้น มันเป็นผลลัพธ์ที่เป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆจากการได้รับพระราชทานทุนของพระองค์ ดังนั้น สิ่งนี้ถือเป็นกำลังใจ ให้ตัวเองและครอบครัวได้มาถึงจุดนี้ในปัจจุบัน และผมตั้งใจจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้อื่นและตอบแทนสังคมอย่างสุดกำลังเมื่อมีโอกาส” หมวดบาส กล่าว
ขณะที่ หมอแอม-แพทย์หญิงปิยกมล กล่ำสวัสดิ์ นักเรียนทุนฯ ม.ท.ศ.รุ่นที่ 5 คุณหมอป้ายแดงนายแพทย์ปฎิบัติการ แห่งโรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้รับสายธารแห่งพระมหากรุณาธิคุณ จากที่คิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้เป็นหมออย่างใจหวัง เพราะฐานะทางบ้านที่ยังต้องอดมื้อกินมื้อ เพื่อให้อีก4 ชีวิตอยู่ได้ แต่เมื่อวันหนึ่งเธอได้รับทุนการศึกษาพระราชทาน เหมือนชีวิตได้เกิดใหม่ทำให้เธอมีความหวังและกำลังใจในการดำเนินชีวิตอีกครั้ง
“วินาทีที่รู้ว่าได้รับทุนพระราชทานดีใจมากมีความโล่งอก เพราะมีหนทางที่จะได้เรียนหมอตามความตั้งใจแล้ว เพียงแค่มาบวกกับความพยายามตั้งใจเรียนของเราอีกนิดนึ่ง เพราะฐานะทางบ้านก็ไม่ค่อยดีมีพี่น้องอีก 4 คน แถมคุณแม่ก็ป่วยเป็นอัมพฤกษ์แขนขวาไม่มีแรง หลังเลิกเรียนต้องไปช่วยคุณแม่ขายกาแฟรถเข็น พี่น้องทุกคนอยากให้หนูออกมาเรียนผู้ช่วยพยาบาล เพราะเรียนแค่สองปีก็สามารถทำงานได้ ตอนนั้นก็คือพยายามตั้งใจเรียน ขอบคุณครูที่เห็นความตั้งใจจึงแนะนำทุนการศึกษาพระราชทานให้ วันแรกที่ได้เข้าเฝ้าในหลวงรู้สึกตื่นเต้นมากทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ต้องตั้งสติทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด”
พอสำเร็จการศึกษาคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 ตามความตั้งใจ หมอแอมจึงเลือกเข้าโครงการแพทย์ชนบทเพื่อกลับมาทำงานรับใช้บ้านเกิดที่โรงพยาบาลจังหวัดสมุทรสงครามอันเป็นการสนองพระราชปณิธานขององค์ผู้ก่อตั้งมูลนิธิที่สามารถนําความรู้มาใช้ประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว รวมถึงพัฒนาสังคมและประเทศชาติได้
“หนูน้อมนำกระแสพระราชดำรัสที่พระองค์พระราชทานให้ในทุกครั้ง เริ่มตั้งแต่คำว่าเรียนดี เราก็พยายามตั้งไจเรียนแล้วพอเรียนจบก็เลือกที่จะกลับไปเป็นหมอในโครงการแพทย์ชนบทกลับมาใช้ทุนที่บ้านจังหวัดสมุทรสงครามซึ่งค่อนข้างเป็นจังหวัดเล็กทำให้แพทย์มีไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้ป่วย พอกลับมาบ้านก็สามารถดูแลครอบครัวได้แล้วก็สามารถทำประโยชน์ให้กับบ้านเกิดของตัวเองได้ ในฐานะหมอ จริงๆเราก็คิดว่าผู้ป่วยทุกคนเป็นเหมือนญาติพี่น้องทำให้ทุกคนอย่างเต็มที่และเท่าเทียมเต็มที่ ตอนนี้คุณหมอก็ให้เราเป็นคนที่ดูแลอาการของคุณแม่โดยตรง ชีวิตตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะมากทั้งเรื่องการใช้ชีวิตรู้สึกว่าครอบครัวดีขึ้นจากที่บางมื้ออาจต้องอดกินในบางมื้อ หนูรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาที่คุณอย่างหาที่สุดไม่ได้เพราะว่าการได้ทุนนี้มันเปลี่ยนชีวิตหนูมากๆแล้วก็ต้องขอบคุณพระองค์ที่มองเห็นจุดเล็กๆจุดน้อยนี้เพื่อที่จะสามารถทำประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติได้” หมอแอม กล่าว.-008
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี