หมายจับ‘ธาริต’
เบี้ยวฟังฎีการอบที่7คดีผิดม.157
ตั้งข้อหา‘มาร์ค-เทพเทือก’มิชอบ
ศาลชี้ประวิงเวลา/เชื่อจะหลบหนี
ศาลอาญาสั่งออกหมายจับ “ธาริต” อดีตอธิบดีดีเอสไอ ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เจตนากลั่นแกล้งผู้อื่นให้ได้รับโทษจากเหตุรุนแรงทางการเมืองปี’53 ที่“อภิสิทธิ์-สุเทพ” ยื่นฟ้อง ศาลชี้เป็นการประวิงคดีให้ล่าช้า มีเหตุให้เชื่อว่าจะหลบหนี นัดอ่านฎีกาครั้งที่ 8 เช้า24 มีค. สั่งปรับนายประกัน 2 แสน ไม่ส่งตัวจำเลยมาศาล
เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำสั่ง/คำพิพากษาศาลฎีกา ครั้งที่ 7 คดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ หมายเลขดำ อ.310/2556 ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อดีตหัวหน้าชุดสอบสวนคดีการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ จากเหตุรุนแรงทางการเมืองปี 2553 พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำและร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล ในฐานะพนักงานสอบสวนเป็นจำเลยที่1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำการ โดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ200วรรคสอง จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธต่อสู้คดี
สำหรับคดีนี้ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสี่ โจทก์ ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์ แล้วเห็นว่า จำเลยทั้งสี่ทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษากลับ ให้จำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 3 ปี ลดโทษให้1ใน3 คงจำคุกจำเลยคนละ 2 ปี ไม่รอลงอาญา
จากนั้นจำเลยทั้งสี่ยื่นฎีกาอ้างว่า มีพยานหลักฐานใหม่ในคดี ขอให้ศาลฎีกาพิจารณา พิพากษาใหม่ และนายธาริต จำเลยที่ 1 มอบหมายให้ทนายความยื่นคำร้องขอเลื่อนฟังคำพิพากษาศาลฎีกาออกไปก่อนโดยให้เหตุผลต่างกันหลายครั้ง โดยครั้งหลังสุดขอเลื่อนโดยให้เหตุผล เนื่องจากต้องผ่านิ่วในไตทั้ง 2 ข้าง ใช้เวลารักษานานประมาณ 4 เดือน รวมทั้งนางพะเยาว์ อัคฮาดมารดา น.ส.กมล หรือน้องเกด อัคฮาดพยาบาลอาสาที่เสียชีวิตที่วัดปทุมวนารามเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 และญาติผู้เสียชีวิตรายอื่นยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความที่สามในคดีด้วย ศาลอาญาจึงมีคำสั่งให้ส่งคำร้องทั้งหมดให้ศาลฎีกา พิจารณาเพื่อมีคำสั่งคำร้อง โดยองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาจะพิจารณาผ่านระบบจอภาพผ่านศาลอาญา
ทั้งนี้ การนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกาวันนี้ (2 กุมภาพันธ์) ทนายโจทก์ที่ 1-2 จำเลยที่ 2-4 ทนายจำเลยที่ 1 พนักงานอัยการในฐานะทนายจำเลยที่ 3,4 ผู้รับมอบอำนาจนายประกันจำเลยทั้งสี่มาศาล ส่วนจำเลยที่ 1 ทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาล
ทนายจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า ตามที่ได้แถลงต่อศาลในนัดที่แล้วว่า จำเลยที่ 1 เจ็บป่วยเป็นโรคนิ่วในไตทางด้านซ้ายและด้านขวา ต่อมาวันที่ 29 มกราคม2566 จำเลยที่ 1 เข้ารักษาที่รพ.ศิริราชปิยมหาราชการุณย์แพทย์ได้ผ่าตัดส่องกล้องผ่านท่อไตและใส่สายระบายเลือดไว้ในท่อไตทั้งสองข้าง จำเลยที่ 1 จำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลเพื่อพักฟื้นและต้องติดตามอาการเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อประเมินสภาพไตและก้อนนิ่วอีกครั้ง รายละเอียดตามคำร้องขอเลื่อนคดี ฉบับลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 พร้อมเอกสารแนบท้าย สำเนาคำร้องให้คู่ความทุกฝ่ายแล้ว ทนายโจทก์ที่ 1 แถลงว่า ไม่คัดค้านการขอเลื่อนคดี โดยขอให้เป็นดุลพินิจของศาล แต่ขอให้ศาลกำหนดมาตรการเพื่อกำชับให้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกาโดยเร็ว เนื่องจากคดีนี้ขอเลื่อนเพื่ออ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 7 แล้ว
ส่วนทนายโจทก์ที่ 2 แถลงว่า ไม่คัดค้านการขอเลื่อนคดี แต่ขอแถลงเพิ่มเติมว่า ตามใบรับรองแพทย์ที่ทนายจำเลยที่ 1 ยื่นมาท้ายคำร้องขอเลื่อนคดีนั้น ระบุว่า จำเลยที่ 1 จำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลเพื่อพักฟื้นและต้องติดตามอาการเป็นเวลาอีกประมาณ 3 เดือน เป็นการไม่แจ้งชัดว่าจำเลยที่ 1 มีความจำเป็นต้องเข้ารักษาตัว โดยอยู่ที่โรงพยาบาลตลอดระยะเวลาทั้ง 3 เดือนหรือไม่
ศาลอาญาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาตามคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยที่ 1 ประกอบเอกสารแนบท้ายแล้ว ปรากฎเพียงว่าจำเลยที่ 1 ได้รักษาโดยการผ่าตัดส่องกล้องผ่านท่อไตเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2566 ต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลและต้องติดตามอาการเป็นเวลา 3 เดือนเพื่อประเมินสภาพไตและก้อนนิ่วอีกครั้ง แต่แพทย์ไม่ได้แจ้งว่าจำเลยที่ 1 จำเป็นต้องเข้ารักษาด้วยการผ่าตัดในทันทีหรือต้องผ่าตัดเร่งด่วนในวันและเวลาใด และจำเป็นต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลตลอดเวลา 3 เดือนหรือไม่ ทั้งไม่ได้ลงความเห็นว่าจำเลยที่ 1 มีอาการเจ็บป่วยถึงขนาดที่ไม่สามารถเดินทางมาศาลในวันนี้ได้ ประกอบกับจำเลยที่ 1 ขอเลื่อนคดีโดยอ้างเหตุเจ็บป่วยมาแล้วหลายครั้งเป็นเวลากว่าหนึ่งปี น่าเชื่อว่าการที่จำเลยที่ 1 ไม่มาศาลเป็นการประวิงคดีให้ล่าช้า ตามพฤติการณ์จึงมีเหตุให้เชื่อว่าจำเลยที่ 1 หลบหนีจึงให้ออกหมายจับจำเลยที่ 1 เพื่อนำตัวมาฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกาต่อไป
สำหรับนายประกันจำเลยที่ 1 ไม่ส่งตัวจำเลยที่ 1 ต่อศาลตามนัด ถือว่าผิดสัญญาประกันให้ปรับนายประกันจำเลยที่ 1 เต็มตามสัญญาจำนวน 2 แสนบาท แจ้งนายประกันจำเลยที่ 1 ให้ชำระค่าปรับต่อศาลภายใน 15 วันนับแต่วันนี้ ให้เลื่อนไปนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกาในวันที่ 24 มีนาคม เวลา 09.00 น.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี