มีความคืบหน้ากรณีมีคลิปเสียงหลักฐานสำคัญอ้างเป็นผู้มีอำนาจในหน่วยงานสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขานครพนม ฉวยโอกาสเรียกประชุมดีลลับกับผู้ประกอบการท่าทรายในพื้นที่ อ.ธาตุพนม จ.นครพนม หลังนายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย พ.อ.สมหมาย บุษบา รอง ผอ.กอ.รมน.นครพนม (ฝ่ายทหาร) และนายสมลักษ์ ยกน้อยวงษ์ ปลัดจังหวัดนครพนม ลงตรวจสอบท่าทรายแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ธาตุพนม เพื่อนำข้อมูลจากผู้ประกอบการไปพิจารณา ในการออกใบอนุญาตประกอบกิจการดูดหินทรายแม่น้ำโขงในฤดูกาลหน้า

โดยเนื้อหาของชายในคลิปเสียงอ้างเป็นผู้มีอำนาจดูแลเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการท่าทราย ในการใช้ช่องว่างกฎหมาย หลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียม รวมถึงแสวงหาประโยชน์จากการดูดหินทรายโดยผิดกฎหมาย อีกทั้งยังระบุตอนหนึ่งว่าจะย้ายผู้ว่าฯ และยังพาดพิงถึงบุคคลอื่นอีกหลายคน หลังนายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เตรียมตรวจสอบบังคับใช้กฎหมาย ป้องกันการเรียกรับผลประโยชน์ รวมถึงตัดวงจรเส้นทางส่วยธุรกิจดูดหินทรายน้ำโขง

ทั้งนี้ คลิปเสียงฉาวอยู่ระหว่างการสั่งตรวจสอบข้อเท็จจริงของหน่วยงานความมั่นคง รวมถึงจังหวัดนครพนม เกี่ยวกับเสียงดีลลับเอื้อประโยชน์ผู้ประกอบการท่าทรายแห่งหนึ่ง ที่นำเข้าทรายจากประเทศเพื่อนบ้านโดยไม่ผ่านการสำแดงเอกสารตามกฎหมายศุลกากร อาจเชื่อมโยงเส้นทางส่วย เพื่อสอบสวนหาทางเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงผู้ประกอบการท่าทราย ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

ล่าสุดทางหน่วยงานสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขานครพนม ยังไม่ยอมออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง ขณะเดียวกันก็มีตัวแทนภาคเอกชนออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุนให้ผู้ประกอบการท่าทรายเลิกการใช้ระบบส่วยเพื่อดูแลเจ้าหน้าที่รัฐกังฉิน ในการเอื้อประโยชน์กับธุรกิจดูดหินทรายน้ำโขงและฝากให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้มงวดบังคับใช้กฎหมาย อย่าใช้ช่องโหว่ทางกฎหมาย ในการเรียกรับหาประโยชน์ สุดท้ายกระทบต่อต้นทุนหินทราย มีราคาแพงขึ้นหลายเท่าตัว

ด้านนายวัชรินทร์ เจียวิริยบุญญา รองประธานสภาอุตสาหกรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ งานการค้าชายแดนอีสานตอนบน เปิดเผยว่า ต้องยอมรับว่าธุรกิจดูดหินทรายเป็นปัจจัยพื้นฐานเกี่ยวกับธุรกิจก่อสร้าง รวมถึงโครงการก่อสร้าง เพราะเป็นที่มาของส่วนหนึ่งเกี่ยวกับต้นทุนการก่อสร้าง พื้นที่ จ.นครพนม ถือเป็นจังหวัดชายแดนที่มีผู้ประกอบการดูดหินทรายน้ำโขงจำนวนมาก

จากการศึกษาข้อมูลพบว่าการดูดหินทรายไม่ได้เป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้นยังเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาความตื้นเขินของลำน้ำโขงอีกด้วย ฉะนั้นหน่วยงานภาครัฐจะต้องมีมาตรการดูแล บังคับใช้กฎหมาย รวมถึงผู้ประกอบการจะต้องมีความรับผิดชอบ ทำตามขั้นตอนของกฎหมาย สิ่งสำคัญต้องยอมรับว่าปัจจุบันผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ยังใช้ระบบส่วย เป็นธรรมเนียมในการดูแลเจ้าหน้าที่เพื่ออำนวยความสะดวกให้ตนเองในการประกอบธุรกิจ ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐบางรายไม่บังคับใช้กฎหมายเข้มงวด เพราะหวังประโยชน์จากช่องว่างของกฎหมาย สิ่งที่ตามมาไม่เพียงทำให้ระบบการบริหารจัดการดูแลท่าทรายไม่มีประสิทธิภาพ รวมถึงเกิดปัญหาระบบส่วนทุจริตคอรัปชั่นยังส่งผลกระทบต่อต้นทุนหินทราย จากปกติมีราคาต้นทุนประมาณ 50-80 บาทต่อคิวแต่ต้องมีการจำหน่ายในราคาสูงคิวละ 400 -500 บาทเพราะแบกต้นทุ่นจากระบบสวยเป็นธรรมเนียมมายาวนาน

ทั้งนี้ ตนอยากให้ผู้ประกอบการ ตัดปัญหาระบบส่วย หันมาทำตามขั้นตอนกฎหมาย เลิกธรรมเนียมรูปแบบเก่า ป้องกันเจ้าหน้าที่รัฐแสวงประโยชน์จากธุรกิจดูดหินทรายจะส่งผลให้มีระบบการดูแลบริหารจัดการมาตรฐานมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องเป็นต้นทุนในการดูดหินทรายรวมถึงหน่วยงานภาครัฐจะต้องวางแนวทางให้ชัดเจนและต้องหารือร่วมกันกับผู้ประกอบการในการแก้ไขปัญหา เพื่อตัดระบบส่วยธุรกิจท่าทรายให้หมดไป ผู้ประกอบการไม่ต้องแบกภาระต้นทุน - 003