วันที่ 22 กันยายน 2566 นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) เดินทางไปมอบนโยบายแก่ผู้บริหาร สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) พร้อมตรวจเยี่ยม โดยมี นายอัมพร พินะสา เลขาธิกาาคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(เลขาธิการ กพฐ.) พร้อม ผู้บริหาร สพฐ.รับมอบนโยบาย
นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า สพฐ. เป็นองค์กรที่สำคัญในการดูแลจัดการศึกษา เป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุด เพราะมีบุคลากรในสังกัดมากถึง 5 กว่าแสนคน การดำเนินงานภายใต้นโยบายของพล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นสิ่งที่ตนตระหนัก และหลายนโยบายมีความเกี่ยวข้องกับสพฐ.โดยตรง ทั้ง นโยบาย 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ นโยบายเรื่องการแนะแนว การแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา ครูคืนถิ่น ก็เกี่ยวข้องกับ สพฐ. ในการพิจารณาโยกย้ายครูกลับไปอยู่ในภูมิลำเนาของตัวเอง
“นโยบายหลัก ๆ จะเกี่ยวข้องกับการลดภาระครู และบุคลากรทางการศึกษา แลการลดภาระนักเรียน การสร้างอาชีพระหว่างเรียน การแก้หนี้ครู ทั้งหมดนี้ เป็นนโยบายที่ รมว.ศธ. มอบหมาย ผมตระหนักว่า จะต้องทำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้ประสบความสำเร็จ ผมรู้ว่า ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการศธ. เป็นตำแหน่งที่สำคัญ จะต้องทำงานให้ประสบความสำเร็จ ทำงานอย่างเต็มที่ และจะเข้ามาทำให้กลไกส่งเสริมการทำงานของข้าราชการทำงานได้ง่ายขึ้น จะไม่เข้ามาเป็นตัวถ่วง เป็นภาระ หรือขัดขวางการทำงาน และขอเน้นย้ำตามแนวทางของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ในเรื่องความเรียบง่าย การลงพื้นที่ตรวจราชการต่าง ๆใครที่ไม่เกี่ยวข้องก็ขอให้ทำงานตามหน้าที่ไป ไม่อยากให้ มาเป็นขบวนใหญ่ ๆ ซึ่งส่วนตัวผมเองก็ไม่อยากให้ทุกคนเสียเวลาทำงาน แต่ใครที่เกี่ยวข้องก็ขอให้มา เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีคุณภาพ” รัฐมนตรีช่วยว่าการศธ. กล่าว
รมว.ศธ. กล่าวต่อว่า สำหรับปัญหาที่ได้รับฟังข้อมูลมา ทั้งอัตราการเกิดลดลง โรงเรียนขนาดเล็กเพิ่มขึ้น ครูไม่ครบชั้น ขาดนักการภารโรง ทั้งหมดนี้ จะต้องมีวิธีที่จะทำให้ดีขึ้น เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อน การยุบหรือควบรวมโรงเรียน เป็นแนวทางที่ทำกันมานาน แต่ก็เชื่อว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งหวังว่า นโยบาย 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ จะไปช่วยตอบโจทย์เรื่องดังกล่าว ช่วยแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก หากสามารถดำเนินการสร้างคุณภาพให้ชุมชนไว้ใจ ผู้ปกครองส่งบุตรหลานเข้ามาเรียน อย่างไรก็ตาม อาจจะต้องตั้งคณะทำงานในเรื่องต่าง ๆเพื่อให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพ ส่วนการเดินหน้านโยบายแจกแท็บเล็ตนักเรียนและครูนั้น ได้ให้คณะทำงานศึกษาระยะแรกจะทำอย่างไรมจะซื้อหรือจะเช่า ก็จะดูว่าอันไหนคุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุดและดีที่สุด และดูว่าเบื้องต้นจะแจกจ่ายให้เด็กในระดับชั้นใด เพื่อเป็นการเริ่มต้น ซึ่งขณะนี้แต่ละหน่วยงานอยู่ระหว่างการปรับคำของบประมาณ 2567 ให้สอดคล้องกับนโยบาย
ด้านนายอัมพร กล่าวรายงานว่า สพฐ.มีนักเรียนที่ต้องดูแลตั้งแต่อนุบาล จนถึงมัธยมศึกษาศึกษาปีที่ 6 รวมทั้งสิ้นกว่า 6.5 ล้านคน มีโรงเรียนในสังกัด 29,315 โรงเรียน จำแนกเป็นระดับก่อนประถมศึกษา จำนวน 8 แสนกว่าคน ประถมฯกว่า 2 ล้านคน มัธยมต้นกว่า 1 ล้านคน ชั้นมัธยมปลายประมาณ 1 ล้านคน ซึ่ง สพฐ.มีเด็กที่ต้องดูแล 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือกลุ่มเด็กด้อยโอกาส และพิการ กลุ่มที่มีความสามารถพิเศษ และเด็กกลุ่มปกติ โดย สพฐ.มีโรงเรียนอยู่ทั้งหมด 29,315 โรงเรียน จำแนกเป็นสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.) 183 เขต มีจำนวน 10,000 กว่าโรงเรียน, สังกัด สพม.62 เขต มี 2,000 กว่าโรงเรียน และมีโรงเรียนด้อยโอกาสและพิการอยู่ 3 ประเภท คือโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 53 แห่ง และโรงเรียนเฉพาะความพิการ 53 แห่ง และมีศูนย์การศึกษาพิเศษที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ 77 ศูนย์
เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมของบุคลากร สพฐ.มีบุคลากรอยู่ 3 ส่วน คือบุคลากรที่อยู่ส่วนกลาง คือ สพฐ. จำนวน 1,286 คน บุคลากรในเขตพื้นที่การศึกษา(สพป.,สพม.) จำนวน 14,000 กว่าคน บุคลากรที่อยู่ในโรงเรียนตั้งแต่ ผอ.โรงเรียน และครูลงไป มีประมาณ 5 แสนกว่าคน สำหรับปัญหาที่อยากให้คิดร่วมกัน คือใน 10 ปีที่ผ่านมา อัตราเด็กเกิดน้อยลง ขณะที่การคมนาคมสะดวกมากขึ้น ประกอบกับผู้ปกครองให้ความสำคัญกับมิติด้านคุณภาพการจัดการศึกษามากขึ้น ทำให้มีสภาวะเด็กเกิดน้อยและมาเรียนในเมืองมากขึ้น ทำให้โรงเรียนขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ที่อยู่ในชนบท ในหมู่บ้าน กลายเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ทำให้เกิดปัญหาครูไม่ครบชั้น ครูไม่ครบวิชา ขณะที่ คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบาย กำลังคนภาครัฐ (คปร.) ยกเลิกตำแหน่งนักการภารโรง ที่เป็นลูกจ้างประจำของทุกโรงเรียน หากเสียชีวิต หรือลาออกให้ตำแหน่งจะยุบตามตัว ทำให้ขณะนี้บางโรงเรียนไม่มีภารโรง ครูและเด็กในบางโรงเรียน ต้องมาทำหน้าที่แทนภารโรงไปด้วย รวมถึงกระทบเรื่องอาหารกลางวัน ทำให้ครูมีภารงานที่ไม่ใช่งานสอนเพิ่มมากขึ้น
“อีกปัญหาหนึ่งคือ การขับเคลื่อนมติด้านคุณภาพ ที่ยังไม่สามารถทำได้มาตรฐาน ด้วยข้อจำกัดดังกล่าว ส่งผลให้คะแนนการทดสอบต่าง ๆ ทั้งการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต คะแนนประเมินตาม โครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ PISA ยังค่อนข้างมีปัญหา สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นความท้าทายที่จะต้องเกิดความเปลี่ยนแปลง และจากปัญหาดังกล่าว ผมจึงได้มีนโยบายเดิม อาทิ ต้องการเห็นโรงเรียนมีความปลอดภัย และเป็นโรงเรียนแห่งความสุข ลดความเหลื่อมล้ำ และความด้อยโอกาสของนักเรียน การยกระดับคุณภาพผู้เรียน โดยมุ่งปรับหลักสูตรให้เป็นฐานสมรรถนะ ปรับการเรียนการสอนแบบ Active Learning เปลี่ยนขบวนการวัดและประเมินผล โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย รวมถึงได้มีการแยกวิชาประวัติศาสตร์ออกมาต่างหากเป็น 8+1 และในปีที่ผ่านมา สพฐ.ได้พัฒนาครูหมดแล้ว เป็นต้น”นายอัมพร กล่าว
นายอัมพร กล่าวอีกว่า สพฐ.ได้มีการเพิ่มคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็กที่ไม่ได้ยุบ ให้กระจายไปยู่ในตำบลต่าง ๆ และจะปรับจูนให้ตรงกับนโยบาย 1 โรงเรียนคุณภาพ 1 อำเภอต่อไป และให้มีโรงเรียนราชประชานะเคราะห์เพิ่มขึ้น และมีโรงเรียนเฉพาะความพิการเพิ่มขึ้น รวมถึงเพิ่มโรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างในปีการศึกษาหน้าก็จะสามารถรับนักเรียนได้สำหรับโรงเรียนที่เกิดขึ้นใหม่นี้