รองโฆษก อสส.เผยอัยการรับสำนวน ปปช.ชี้มูลความผิด"สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง"อดีต ผบ.ตร. "เนตร นาคสุข" กับพวกรวม 8 คนปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เปลี่ยนแปลงความเร็วรถ”บอส”ซิ่งรถหรูชนตร.ตายปี 55 เเล้ว เสนอส่งฟ้องศาลฎีกานักการเมือง พร้อมตั้งอัยการปราบทุจริตฯพิจารณาสำนวนเปิดโอกาสให้"บิ๊กอ๊อด"กับพวกร้องขอความเป็นธรรม เร่งรัด ตร.ตามจับ"วรยุทธ"มาฟ้องศาล ก่อนคดีขับรถชน ตร.ตายหมดอายุความปี 70
เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม นายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการคดีพิเศษ ในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดเปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดกลุ่มผู้ต้องหาคดีเปลี่ยนแปลงความเร็วรถ นายวรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง ผู้ต้องหาคดีขับรถยนต์หรูชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจสายตรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 3 กันยายน 2555 ที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธว่า คดีนี้สำนักงาน ปปช.ส่งสำนวนมาถึงอัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา พร้อมชี้มูลความผิด พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภาฯ เเละเป็นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กับพวกรวม 8 คนฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาหรือจัดการให้เป็นไปตามหมายอาญา กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด ๆ ในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบ เพื่อจะช่วยบุคคลหนึ่งบุคคลใดมิให้ต้องโทษ หรือให้รับโทษน้อยลงฯ
โดยปปช.ส่งสำนวนและชี้มูลความผิดเพื่อให้อัยการสูงสุดพิจารณาสั่งฟ้องและยื่นฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดต่อศาลฎีกาเเผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำเเหน่งทางการเมือง
สำหรับเหตุที่อัยการสูงสุดต้องยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาฯ เนื่องจากตามกฎหมาย ศาลฎีกาฯเป็นศาลที่มีอำนาจในการพิจารณาคดีเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำความผิดด้วย ไม่ใช่นักการเมืองอย่างเดียว ซึ่งเป็นไปตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ. 2561 มาตรา 76 คดีของผู้ต้องหากลุ่มนี้จึงอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลฎีกาฯ
ส่วนขั้นตอนหลังจากนี้อัยการสูงสุดได้ส่งสำนวนให้อัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตพิจารณา ซึ่งตั้งคณะทำงานอัยการขึ้นพิจารณา ซึ่งผลการพิจารณาจะเป็นไปได้ 2 กรณี
กรณีที่ 1.ถ้าสำนวนนี้มีพยานหลักฐานสมบูรณ์เพียงพอที่จะดำเนินการยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาฯได้ อัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตฯจะพิจารณาทำความเห็นเสนอต่ออัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาสั่งรับดำเนินคดีอาญาเอง โดยจะมีกรอบระเวลาเวลาภายใน 180 วัน ตั้งแต่วันที่รับสำนวน
กรณีที่2.ถ้าคณะทำงานอัยการพิจารณาแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวนของปปช.ยังไม่สมบูรณ์ก็จะดำเนินการ ตั้งข้อไม่สมบูรณ์(พยานหลักฐานไม่เพียงพอ)ได้ ซึ่งกรณีการตั้งข้อสมบูรณ์ไม่ใช่เป็นอำนาจของอัยการคดีปราบปรามทุจริตฯเเต่จะต้องเสนอเพื่อขออนุญาตจากอัยการสูงสุดว่าพบข้อไม่สมบูรณ์ ซึ่งตามกฎหมายต้องกระทำภายใน 90 วันนับตั้งแต่รับสำนวน
ทั้งนี้ หากอัยการสูงสุดเห็นว่าคดีนี้จำเป็นต้องตั้งข้อไม่สมบูรณ์ก็จะแจ้งต่อ ปปช.เพื่อให้ส่งตัวแทนมาร่วมกันพิจารณากับคณะทำงานอัยการ พิจารณาข้อไม่สมบูรณ์เพื่อหาข้อยุติ ฝ่ายละไม่เกิน5 คนและเมื่อพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์นั้นแล้วได้ข้อยุติอย่างไรก็ต้องเสนอความเห็นต่ออัยการสูงสุดพิจารณา หากคณะที่ประชุมร่วมกันระหว่างอัยการและ ปปช.มีการแก้ไขข้อไม่สมบูรณ์แล้ว ก็นำเสนออัยการสูงสุดเพื่อพิจารณามีคำสั่งรับดำเนินคดี หรือ หากคณะทำงานอัยการพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่สามารถยื่นฟ้องคดีได้ เพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอก็จะนำเสนออัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาไม่รับดำเนินคดีอาญาและส่งสำนวนคืนปปช.เพื่อให้ ปปช.พิจารณายื่นฟ้องเองอย่างที่เคยปรากฎในหลายคดีที่ผ่านมา
ในส่วนของผู้ต้องหาสามารถยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดได้ ซึ่งมีกรอบระยะเวลา การยื่น ก่อนที่อัยการสูงสุดจะมีคำสั่งรับดำเนินคดีอาญา ถ้าพิจารณาตามกรอบระยะเวลาแล้วการยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมก็จะต้องยื่นพยานหลักฐานเพื่อขอให้สอบสวนเพิ่มเติมภายในกรอบเวลา 90 วัน เพราะว่าถ้ากรอบระยะเวลา 90 วัน หากทางอัยการไม่ตั้งข้อไม่สมบูรณ์ภายใน 90 วัน หรือตั้งข้อไม่สมบูรณ์ไม่ทันกฎหมายจะขยายได้อีก 45 วันเท่ากับเป็น 135 วัน ถ้าภายในระยะเวลานี้ไม่ยื่นขอความเป็นธรรมก็ไม่สามารถตั้งข้อไม่สมบูรณ์ได้แล้ว รวมทั้งต้องก่อนอัยการสูงสุดจะมีคำสั่งรับดำเนินคดี เพราะหากอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้รับดำเนินคดีเลย แล้วปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดร้องความเป็นธรรมเข้ามาถึงแม้จะยื่นภายในกรอบระยะเวลาตั้งข้อไม่สมบูรณ์ก็ตาม ก็จะมีคำสั่งได้อย่างเดียวก็คือยุติการร้องขอความเป็นธรรม
ซึ่งการพิจารณาหนังสือร้องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาจะเป็นอัยการสูงสุด โดยจะยื่นผ่านคณะทำงานที่จะต้องนำเสนอว่าที่ร้องขอความเป็นธรรมจะนำไปสู่ข้อไม่สมบูรณ์หรือไม่ เพราะหากร้องขอความเป็นธรรมแล้ว ไม่มีประเด็นที่จะตั้งข้อไม่สมบูรณ์ให้อัยการสูงสุดพิจารณา
โดยคณะทำงานจะต้องนำเสนออัยการสูงสุด ว่าประเด็นที่ร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาไม่นำไปสู่การตั้งข้อไม่สมบูรณ์ก็เท่ากับว่ายุติไปโดยปริยาย ก็นำเสนออัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาว่ารับดำเนินคดีอาญาหรือไม่
ทั้งนี้การตั้งข้อไม่สมบูรณ์กระทำได้เพียงครั้งเดียวต้องอยู่ในกรอบระยะเวลา90 วันและไม่เกิน 135 วัน เพื่อหาข้อยุติ ว่าจะดำเนินคดีหรือไม่ ตามกฎหมายเพื่อไม่ให้เกิดความยืดเยื้อ
ในส่วนของนายวรยุทธ คดีนี้อัยการได้มีคำสั่งฟ้องนายวรยุทธ ความผิดฐาน ขับรถโดยประมาทเป็นผู้ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นข้อหาที่ยังไม่หมดอายุความ โดยมีอายุความ 15 ปี ซึ่งจะหมดอายุความวันที่ 3 กันยายน 2570 ล่าสุดทางอัยการได้มีหนังสือแจ้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อดำเนินการให้ได้ตัวผู้ต้องหามายื่นฟ้องศาลภายในอายุความ
ส่วนขั้นตอนในการติดตามตัวผู้ต้องหามาฟ้องก็เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องติดตามตัวว่าผู้ต้องหาอยู่ที่ไหนถ้าผู้ต้องหาอยู่ต่างประเทศก็จะต้องดำเนินการติดต่อ สืบหาที่อยู่ของผู้ต้องหาหรือหลักแหล่งของผู้ต้องหาให้ได้และถ้าจะมีการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนเจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานสอบสวนจะต้องส่งข้อมูลมายังสำนักงานอัยการต่างประเทศเพื่อให้อัยการสูงสุดในฐานะผู้ประสานงานกลางขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อดำเนินการ ถ้าได้ตัวนายวรยุทธมาภายในอายุความอัยการก็พร้อมยื่นฟ้องทันทีเพราะมีการร่างคำฟ้องไว้เรียบร้อยแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับ ผู้ต้องหา 8 คนที่ ปปช.ชี้มูลความผิดส่งอัยการสูงสุดพิจารณาประกอบด้วย รายสำคัญ อาทิเช่น พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด เเละกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องในคดี ฐานปฎิบัติหน้าที่มิชอบที่มีคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ส่วนผู้สนับสนุน ได้เเก่ อดีตอัยการอาวุโส ,ทนายความ,นักวิชาการด้านความเร็ว และนักการเมืองท้องถิ่นชื่อดังทางภาคเหนือ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี