‘ประธาน กมธ.แก้ภัยแล้งฯ’หนุนอุโมงค์ผันน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์ ช่วย 5 อำเภอ‘กาญจนบุรี’
21 มกราคม 2567 นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ สส.เขต 4 จ.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง อันเนื่องมาจากปรากฏการณ์เอลนีโญ เปิดเผยว่า จากกรณีกรมชลประทานและสำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ศึกษาความเหมาะสมโครงการผันน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์เพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง อ.ห้วยกระเจา อ.เลาขวัญ อ.บ่อพลอย อ.หนองปรือ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี ที่ประสบปัญหาภัยแล้งซ้ำซากทุกปี เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวนั้นเป็นพื้นที่อับฝนจึงมีปริมาณฝนตกน้อยมาก ทำให้ไม่มีน้ำไปเติมยังแหล่งเก็บกักน้ำที่ได้พัฒนาไว้และบางพื้นที่ไม่มีแหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้ไม่มีแหล่งเก็บกักน้ำไว้ใช้ได้อย่างเพียงพอ การศึกษาความเหมาะสมโดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ที่จะผันน้ำปีละ 378 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) เสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อเดือนเมษายน 2564
สำหรับโครงการผันน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์มี 4 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 โครงการก่อสร้างสถานีสูบน้ำจากแม่น้ำแควใหญ่ บริเวณตำบลวังด้งไปอ่างเก็บน้ำลำอีซู (ขยาย) ขนาดอุโมงค์ 4.20 เมตร ความยาว 20.500 กิโลเมตร อัตราผันน้ำวันละ 1.036 ล้าน ลบ.ม. พร้อมวางคลองส่งน้ำไปยังพื้นที่รับประโยชน์ฝั่งตะวันตกของลำตะเพิน ในเขตอำเภอบ่อพลอย
ระยะที่ 2 โครงการก่อสร้างระบบส่งน้ำจากอ่างเก็บน้ำลำอีซู (ขยาย) ถึงบ่อพักน้ำหลุมรัง ท่อส่งน้ำเหล็กเหนียว ขนาด 2.50 เมตร ความยาว 14.195 กิโลเมตร
ระยะที่ 3 โครงการก่อสร้างบ่อพักน้ำหลุมรังขนาด 651 ไร่ ความลึกน้ำ 4.00 เมตร ความจุบ่อพักน้ำ 3.70 ล้าน ลบ.ม.
ระยะที่ 4.โครงการก่อสร้างระบบส่งน้ำจากบ่อพักน้ำหลุมรังไปพื้นที่รับประโยชน์ ประกอบด้วยคลองสายหลักเป็นคลองดาดคอนกรีตยาว 94.165 กิโลเมตร และท่อส่งน้ำสายซอยจำนวน 42 สาย ระยะทางรวมกัน 314 กิโลเมตร
นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ กล่าวว่า ผมในฐานะ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง อันเนื่องมาจากปรากฏการณ์เอลนีโญ เห็นด้วยและสนับสนุนให้กรมชลประทานและสำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)เร่งดำเนินการโครงการดังกล่าวให้สำเร็จโดยเร็ว
แต่อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาเมื่อมีโครงการใหญ่ๆเกิดขึ้นในสังคมไทย มักจะมีผู้ออกมาต่อต้านและไม่เห็นด้วยอยู่เสมอ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของสังคมไทย แต่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต้องสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนหรือผู้ที่ไม่เห็นด้วยได้เข้าใจทั้งปัญหาและแนวทางแก้ไข ว่าโครงการใหญ่ๆที่จะสร้างนี้สามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้
ยกตัวอย่างเช่นโครงการที่เคยเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อประมาณกว่า 30 ปีที่ผ่านมาคือโครงการวางท่อก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยาดานา ประเทศเมียนมา ผ่านชายแดนบ้านอีต่อง ต.ปิล็อก อ.ทองผาภูมิ ไปยังโรงไฟฟ้าจังหวัดราชบุรี ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย หรือ (ปตท.)
โดยในขณะนั้นมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยออกมาคัดค้านอย่างหนัก แต่สุดท้ายก็สามารถก่อสร้างได้โดยการสร้างความเข้าใจ ซึ่งมาถึงทุกวันนี้โครงการวางท่อก๊าซดังกล่าวกลายเป็นแหล่งต้นทุนพลังงานและไฟฟ้าและเป็นโครงการที่คุ้มค่าเกิดผลประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติเป็นจำนวนมหาศาล
โดยโครงการผันน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์เพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง ของกรมชลประทานและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาตินี้ก็เช่นกัน จึงอยากให้ทุกหน่วยงานช่วยสร้างความเข้าใจว่ามันจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาเพิ่มน้ำต้นทุนในพื้นที่อีสานภาคกลางได้อย่างยั่งยืน และโครงการนี้ผมเห็นด้วยที่จะให้มีการดำเนินการ เพราะผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงคือประชาชนและประเทศชาติ
เมื่อวันที่ 17 ม.ค.ผมพร้อมด้วยนายพงษ์ศักดิ์ ฤทธิสมิต ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 13 นายประศาสตร์ สุขอินทร์ ผอ.โครงการชลประทานกาญจนบุรี ได้เดินทางไปที่อาคารที่ทำการฝ่ายวิชาการ กรมชลประทาน เพื่อปรึกษาหารือพร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะแนวทางและติดตามความคืบหน้าของโครงการร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และบริษัทงานสำรวจออกแบบโครงการผันน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์ เพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่ได้รับประโยชน์สูงสุด และโครงการดังกล่าวจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของราษฎรและลดปัญหาการย้ายถิ่นฐานไปหางานทำในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เพราะจะเกิดการส่งเสริมให้ราษฎรในท้องถิ่นมีอาชีพด้านเกษตรกรรมที่มีความมั่นคงและยั่งยืนต่อไป” นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ กล่าว
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี