อนุฯป.ป.ช.ลาออก
อายรับตั๋วบินบิ๊กโจ๊ก
ทนายตั้มพบ‘บิ๊กเต่า’
จี้สอบข้อมูลส่วยตร.
ทนาย “บิ๊กต่อ” ฟ้องทนายตั้มนัดแถลงสื่อ 29 มีนาคมนี้ด้าน“ทนายตั้ม”โร่พบ“บิ๊กเต่า”ร้องตรวจสอบหลักฐานส่วยตำรวจ ยังไม่แจ้งเอาผิด ป.อาญา 157-149 ส่วนบิ๊กเต่า ยันตรวจสอบตรงไปตรงมา ชี้ไม่ใช่เด็กใคร ขณะที่ เลขาฯ ป.ป.ช.เผยมีอนุกรรมการฯ ขอลาออกแล้ว ปมเหตุรับตั๋วเครื่องบินคนใกล้ชิด ‘บิ๊กโจ๊ก’
เมื่อวันที่ 28มีนาคม นายสุธีพงศ์ ชีวิตเจริญ หนึ่งในทีมทนายความของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.กล่าวถึงความคืบหน้าการเตรียมฟ้องร้องนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ทนายความชื่อดัง ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องส่วยวงการตำรวจ แต่มีการพาดพิงถึง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ทำให้ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างจัดเตรียมเอกสารเพื่อยื่นฟ้องนายษิทรา ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เนื่องจากการแถลงข่าวของนายษิทราก่อนหน้านี้ ทำให้เกิดความเสียหายหลายอย่าง ทั้งตัว พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กับครอบครัว รวมถึงหน่วยงานที่กำกับดูแลและวัดต่างๆ โดยจะมีการแถลงข่าวเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมดที่ด้านหน้าศาลอาญาฯ
นายสุธีพงศ์ กล่าวต่อว่า สำหรับรายละเอียดต่างๆ เบื้องต้นได้วางแผนว่าจะให้ข้อมูลในวันที่ 29 มีนาคมนี้ แต่ยังไม่ระบุเวลาที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม จะมีการแจ้งย้ำอย่างเป็นทางการอีกครั้ง หากว่าเอกสารและทุกอย่างพร้อมสมบูรณ์ ซึ่งอยู่ระหว่างพิมพ์เอกสารหลายฉบับตามที่ปรากฏเป็นข่าวทางสื่อมวลชนทุกแขนง แต่จะเน้นเอกสารที่สำคัญเท่านั้น ส่วน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ จะเดินทางมาร่วมแถลงข่าวด้วยหรือไม่ ขอให้รอติดตาม เพราะทีมทนายความจะมีการประชุมหารือกันเพราะถือเป็นงานด่วน
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากที่นายษิทรา ออกมาแฉข้อมูลผ่านสื่อต่างๆ ที่ปรากฏออกมาเป็นข่าวทำให้ ผบ.ตร.รู้สึกเครียดหรือไม่ นายสุธีพงศ์ กล่าวว่า เท่าที่ได้พูดคุยกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ก็สบายๆ ไม่ได้เครียดอะไร เพราะไม่มีหลักฐานอะไรถึงท่านอยู่แล้ว และยืนยันได้ว่าท่านไม่ได้ทำตามที่มีข่าวออกไป
เมื่อถามว่า การยื่นฟ้องครั้งนี้จะสู้อย่างไร เนื่องจากนายษิทรามีหลักฐานเส้นทางการเงิน รวมทั้งการเก็บส่วยจากธุรกิจสีเทา 18 ประเภท และข้อมูลต่างๆ ประกอบที่เชื่อมโยงค่อนข้างชัดเจนนายสุธีพงศ์ ตอบโดยตั้งคำถามกลับว่า “เรื่องนี้ประเด็นหลัก คือเรื่องที่มาของเอกสารเป็นสิ่งสำคัญว่าได้มาอย่างไร เพราะไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ จะเอาข้อมูลของใครมาเปิดก็ได้ แล้วมันมีคดีเกิดขึ้นแล้วหรือยัง และข้อมูลที่ได้มาเป็นของจริงหรือไม่ ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ตรงนี้ต้องตรวจสอบก่อน ไม่ใช่ว่าใครนำอะไรมาเสนอก็เชื่อไปหมดว่าต้องเป็นไปตามนั้น ตรงนี้ต้องระมัดระวังนิดหนึ่ง ยิ่งข่าวที่ออกไปทำให้ผบ.ตร.ได้รับความเสียหาย จึงต้องแก้ไขตรงนี้”
ส่วนที่นายษิทรากล้าออกมาเปิดเผยขนาดนี้แสดงว่าต้องมั่นใจกับหลักฐานพอสมควรเพราะก็รู้ว่าต้องถูกฟ้องอย่างแน่นอน นายสุธีพงศ์ กล่าวว่า “ก็ต่างคนต่างใช้สิทธิ เขาเองก็มีสิทธิพูด แต่ทีนี้มันต่างฝ่ายต่างตรวจสอบกัน ถ้าเขาทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง เราก็ต้องตรวจสอบเหมือนกัน” เมื่อถามย้ำว่า นายษิทราดูเก๋าเกมกว่าหรือไม่นายสุธีพงศ์ ตอบว่า “ก็แน่นอนอยู่แล้ว เขาก็มีผลงานเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ก็ต้องมาดูกันต่อว่าสิ่งที่เขาเปิดไป ความจริงเป็นอย่างไร ส่วนตัวมองว่าข้อมูลที่นายษิทรา นำออกมาเปิดเผย ไม่น่าจะมาจากที่นายษิทรา ได้รับมาเพียงอย่างเดียว แต่เชื่อว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ยืนยันว่าไม่หนักใจและพร้อมต่อสู้ถึงที่สุด”
เวลา 11.00 น.วันเดียวกัน ที่กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) นายษิทราได้เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก.เพื่อนำข้อมูลขบวนการรับส่วยและเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงไปถึงนายตำรวจระดับสูง มามอบให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เพื่อขอให้มีการตรวจสอบข้อมูลทั้งหมด โดยทาง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ได้รับอนุญาตจากผบช.ก.แล้ว หลังจากรับเรื่อง ก็จะส่งเอกสารหลักฐานที่ได้รับจากนายษิทราไปให้พนักงานสอบสวนบก.ปปป.ตรวจสอบข้อเท็จจริงภายใน 30วัน รวมถึงตรวจสอบเส้นเงินว่ามีความเชื่อมโยงไปถึงบุคคลใดบ้าง รวมถึงเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ปากคำเพื่อลงรายละเอียดในสำนวนการสอบสวน แต่สำนวนนี้จะยังไม่ส่งไปยัง ป.ป.ช.เนื่องจากนายษิทรายังไม่ได้แจ้งความดำเนินคดีในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 149
“ไม่ได้กังวลเรื่อพยานหลักฐาน เพราะเชื่อว่าเป็นวิทยาศาสตร์สามารถตรวจสอบได้ หากมีความเชื่อมโยงไปถึงใครก็จะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ถือเป็นเรื่องดีที่ทนายตั้มนำข้อมูลมาให้ แม้ว่าทางตำรวจจะมีข้อมูลจากคดีเก่าอยู่แล้วบางส่วน แต่เป็นโอกาสดีที่จะได้ข้อมูลเพิ่มเติม เพราะตำรวจก็ต้องการกวาดบ้านตัวเอง ใครทำผิดก็ต้องออกไป ก็จะตรวจสอบทุกมิติทั้งเส้นทางการเงิน 30 เส้นรวมถึงตัวย่อนายตำรวจต่างๆที่ถูกพาดพิง” รอง ผบช.ก.กล่าว
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวอีกว่า เป็นอุดมการณ์ของตำรวจอยู่แล้วใครเกี่ยวข้องจะไม่มีการละเว้น ส่วนกรณีที่ถูกบอกว่าตนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาสายตรงของพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ จะมีผลต่อการตรวจสอบเรื่องนี้หรือไม่นั้น ขอยืนยันว่าตนไม่เคยเลียตูดนาย ไม่ได้เป็นเด็กใคร ตนทำงานตามหน้าที่ และมาถึงจุดนี้ได้ด้วยความสามารถของตนเอง ที่ผ่านมาได้ทำงานเพื่อส่วนรวมมาโดยตลอดและมีอุดมการณ์ของตัวเอง เชื่อเถิดว่าไม่มีใครใหญ่กว่าประตูห้องขัง
ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงกรณีที่ตำรวจออกหมายเรียกพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ไปแล้ว 2 ครั้งนั้น ทาง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ไม่ขอพูดถึงเรื่องดังกล่าว เพราะไม่อยากให้สร้างประเด็นอื่นๆ และไม่อยากขัดนโยบายของนายกรัฐมนตรี โดยย้ำกับสื่อมวลชนว่าจะไม่ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้แล้ว
ด้านนายษิทรา กล่าวว่า เดินทางมาในฐานะประชาชนที่พบเห็นการกระทำกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ จึงนำเอกสารหลักฐานเป็นแชทสลิปโอนเงิน และสเตทเม้นท์รวมทั้งเส้นเงินจากบัญชีม้าเว็บพนันออนไลน์ของนายคชาชาญไปยังนายณัฐพงษ์ซึ่งมีการโอนต่อไปยังตำรวจหลายนาย รวมถึงอดีตอุปนายกสมาคมนักข่าวฯ รายหนึ่ง และมีการโอนไปยังเครือญาติของบิ๊กตำรวจ มามอบให้กับ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ซึ่งภายหลังได้ฟังคำพูดของ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ทำให้มั่นใจเพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 40% และจะรอดูการทำสำนวนว่าจะมีการตรวจสอบรายละเอียดตามที่ตนได้ร้องขอในครั้งนี้หรือไม่
“ยืนยันยังไม่มีการแจ้งความดำเนินคดีในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 149 เป็นเพียงการนำเอกสารหลักฐานมาให้ตรวจสอบในกรอบระยะเวลา 30 วัน จากนั้นจะเดินทางมาติดตามความคืบหน้าก่อนจะพิจารณาดำเนินการในลำดับต่อไป ซึ่งเบื้องต้นอยากให้ตำรวจตรวจสอบข้อมูลที่นำมาให้ก่อนว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ ก่อนจะขอเอกสารฉบับจริงจากทางธนาคาร” นายษิทรา กล่าว
นายษิทรา กล่าวอีกว่า ข้อมูลดังกล่าวมาจากสายลับที่เป็นตำรวจ ที่ส่งข้อมูลมาให้เพราะทนกับระบบไม่ได้ แต่ข้อมูลที่ได้รับมานั้น ไม่มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.แต่หากมีผู้นำข้อมูลที่พบว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทำผิดกฎหมาย หากไม่มีใครกล้าดำเนินการตนก็พร้อมจะเปิดเผยข้อมูล และจะไม่เกรงใจ แม้จะรู้สึกลำบากใจเพียงใดก็ตาม เพราะตนกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นับถือกันเป็นพี่น้อง และหลังจากนี้ไม่ขอพูดถึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อีกแล้ว เพราะตนได้ให้สัมภาษณ์ไปหลายครั้งแล้ว
นอกจากนี้ นายษิทรา ยังฝากถึงนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ว่าอยากจะให้ออกมาแฉเรื่องส่วยร่วมกัน โดยในช่วงสัปดาห์หน้า ตนก็ยังมีข้อมูลเด็ดอีกจึงขอให้รอติดตาม
อีกด้านหนึ่ง ผู้สื่อข่าวรายงานถึงกรณีที่พนักงานสอบสวนชุดทำคดีเว็บพนันออนไลน์ BNK Master ได้ออกหมายเรียก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งปรากฏข้อมูลเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับเครือข่าย โดยออกหมายเรียกเป็นครั้งที่ 2 เพื่อให้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน เพื่อรับทราบข้อหาก มีกำหนดในวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา แต่ทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ไม่ได้เดินทางมาแต่อย่างใด ว่าทางคณะพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าว ได้มีมติดำเนินการออกหมายเรียกเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งจะเป็นครั้งสุดท้าย มีกำหนดให้เข้าพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 1 เมษายน 2567 ที่ บก.น.2 หากไม่มีการเข้าพบตามหมายเรียก ก็จะมีการพิจารณาเสนอต่อศาล เพื่อขออำนาจศาลออกหมายจับต่อไป
วันเดียวกัน นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยถึงกรณีที่พบว่ามีบุคลากรของ ป.ป.ช.ไปรับตั๋วเครื่องบินจากคนใกล้ชิด รองผบ.ตร.เพื่อไปช่วยจัดการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ รองผบ.ตร.โดยมีกระแสข่าวว่าบุคลากรของ ป.ป.ช.ดังกล่าว ได้ขอลาออกแล้ว ว่าขณะนี้นายสมบัติ หนึ่งในเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ได้ยื่นหนังสือลาออกจากอนุกรรมการ ป.ป.ช.ทุกชุดแล้ว
“บางคนไม่ใช่เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.แต่เป็นอนุกรรมการ ป.ป.ช.และอนุกรรมการฯ คนนั้น ได้ลาออกไปแล้ว ผิดถูกก็ว่ากัน เพราะตำรวจ บก.ปปป.ยังไม่ส่งสำนวนมาให้ ป.ป.ช.แต่เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.บางคนที่ถูกกล่าวหานั้น มีการกันตัวไม่ให้ทำหน้าที่แล้ว ตอนนี้รอสำนวนจากตำรวจ หากสำนวนมาถึง ป.ป.ช.ก็จะดำเนินการทันที” นายนิวัติไชย กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี