กรมราชทัณฑ์ร่ายยาวแจงยิบ 5 ประเด็น หลัง“หมอวรงค์”ร้องป.ป.ช.สอบมีคนช่วย “ทักษิณ”
รอดนอนคุก-ได้พักโทษ ระบุป่วยหลายโรคต้องส่งรักษารพ.นอกเรือนจำป้องกันความเสี่ยงถึงชีวิต -ส่วนการให้นอนชั้น 14 เป็นดุลยพินิจของแพทย์ รพ.ที่ทำการรักษา ด้าน ‘ทวี’ยินดีให้ตรวจสอบเอาผิดคนช่วย’แม้ว’รอดนอนคุก ชี้คนร้องกันเยอะแล้ว ยันไม่ทำอะไรที่กฎหมายไม่เขียน เหน็บผู้ตรวจการแผ่นดินยุติการสอบมาแล้ว
ความคืบหน้ากรณี นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี นำกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.)และกองทัพธรรม ยื่นหนังสือให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ตรวจสอบกระบวนการช่วยเหลือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ไม่ต้องรับโทษจำคุกภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แต่ได้ส่งตัวไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ที่ รพ.ตำรวจนานกว่า 180 วัน กระทั่งได้รับการพักโทษที่บ้านจันทร์ส่องหล้า
เมื่อวันที่ 23 เมษายน กรมราชทัณฑ์เผยแพร่เอกสารชี้แจงประเด็นดังกล่าว ระบุว่า ในเรื่องดังกล่าวดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม กฎ ระเบียบ และภายใต้กฎหมาย ซึ่งชี้แจงได้ดังนี้ 1.ประเด็นการส่งนายทักษิณไปรักษาที่ รพ.ตำรวจ ไม่ได้ป่วยหนักจริง เพราะจากการแสวงหาข้อเท็จจริง พบเป็นการส่งเพื่อป้องกันความเสี่ยง ในประเด็นนี้ การส่งตัวออกไปรับการรักษาที่ รพ.ตำรวจ เมื่อเวลา 22.00 น.วันที่ 22 สิงหาคม เจ้าหน้าที่พยาบาลเวรเรือนจำ ตรวจติดตามอาการนายทักษิณ เพราะเป็นผู้ต้องขังที่จัดอยู่ในกลุ่มเปราะบาง 608 คือ สูงอายุและมีโรคประจำตัว และมีอาการนอนไม่หลับ แน่นหน้าอก วัดความดันโลหิตสูง ระดับออกซิเจนปลายนิ้วต่ำ พยาบาลเวรเรือนจำติดต่อขอคำแนะนำกับแพทย์ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และแพทย์สอบถามอาการโดยละเอียดแล้ว ตลอดจนพิจารณาจากรายงานประวัติการรักษาของผู้ป่วย โดยแพทย์จากโรงพยาบาลต่างประเทศ (สิงคโปร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) พบมีโรคประจำตัวหลายโรคที่อยู่ระหว่างรักษาติดตามอาการ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูง พังผืดในปอด กระดูกสันหลังเสื่อม โดยโรคที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษคือ โรคหัวใจ เนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ยังขาดเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพ แพทย์จึงมีความเห็นว่าเพื่อป้องกันความเสี่ยงอันตรายที่อาจส่งผลต่อชีวิต เห็นควรส่งตัวไปรพ.ตำรวจที่มีความพร้อม มีเครื่องมือแพทย์ที่มีศักยภาพสูงกว่า โดยแนวปฏิบัติกรณีมีผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ ซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่อชีวิตจะมีการส่งตัวรักษาให้ทันท่วงที และได้นำตัวส่งโรงพยาบาลเมื่อเวลาประมาณ 23.59 น.
ประเด็นที่ 2 การส่งตัวไปรพ.ตำรวจ ผิดกฎกระทรวงเรื่องการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 เพราะตามกฎกระทรวง ต้องผ่านการรักษาพยาบาลจากสถานพยาบาลภายในเรือนจำก่อน แต่จากรายงานไม่ได้ผ่านนั้น กรมราชทัณฑ์ชี้แจงว่า เมื่อรับตัวนายทักษิณ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครดำเนินการตามมาตรฐานการรับและจัดให้อยู่ในสถานพยาบาล แดน 7 เพื่อสังเกตอาการ เพราะนายทักษิณมีอายุ 74 ปี ถือเป็นผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัวที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษคือ โรคหัวใจ เมื่อเจ้าหน้าที่พยาบาลตรวจติดตามอาการแล้วพบอาการตามที่กล่าวแล้วในประเด็นแรก จึงส่งออกรักษาตามความเห็นแพทย์
กรมราชทัณฑ์ระบุต่อว่า ประเด็นที่ 3 เรื่องที่ไม่ตัดผมนักโทษตามระเบียบ แม้จะอ้างว่านักโทษยังอยู่ รพ.ตำรวจ และต้องรอให้รพ.ตำรวจ ส่งตัวกลับมาที่เรือนจำนั้น กรมราชทัณฑ์มีระเบียบว่าด้วยการตัดผมผู้ต้องขังผู้ พ.ศ. 2565 โดยเรือนจำจะจัดให้ผู้ต้องขังเข้าใหม่ตัดผมในเวลาที่เหมาะสม แต่ไม่เกิน 7 วัน กรณีนายทักษิณ เมื่อเรือนจำรับตัวและกักโรคตามระเบียบแล้ว ต่อมาวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ได้ส่งออกไปรักษาที่ รพ.ตำรวจ ตามความเห็นของแพทย์ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ จึงเป็นเวลาที่อยู่ระหว่างการรักษาของแพทย์ เมื่อพ้นการรักษาแล้วเรือนจำก็ดำเนินการตามระเบียบต่อไป
ประเด็นที่ 4 การจัดให้อยู่ชั้น 14 ซึ่งเป็นห้องพิเศษ อยู่ต่อเนื่อง 180 วัน ผิดกฎกระทรวงที่กำหนด ไม่มีเหตุผลที่อ้างเรื่องความปลอดภัย เพราะถ้ามีปัญหานี้ ตามกฎกระทรวง ต้องส่งกลับมารักษาที่ รพ.ราชทัณฑ์ หรืออ้างเตียงสามัญและ ICU เต็ม ก็ฟังไม่ขึ้น สำหรับห้องพักรักษาตัวของผู้ป่วย โรงพยาบาลที่ทำการรักษาจะเป็นผู้กำหนดว่าจะให้ผู้ป่วยพักรักษาที่ห้องใด ตึกใด เพื่อการรักษาทางการแพทย์ กรณีนายทักษิณ ชินวัตร รพ.ตำรวจ ได้กำหนดห้องสำหรับการพักรักษา ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 กล่าวคือ สถานพยาบาลที่รักษาจัดให้ และเป็นไปตามแผนการรักษาของแพทย์
กรมราชทัณฑ์เผยด้วยว่า ประเด็นที่ 5 การให้พักโทษกรณีพิเศษ ก็ให้คะแนนต่ำกว่าความเป็นจริง ที่สำคัญการมีคะแนนต่ำกว่า 11 คะแนน นักโทษต้องมีสภาพย่ำแย่ เพื่อไปใช้ชีวิตบั้นปลายกับครอบครัว สภาพการช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ต้องต่อเนื่อง ระยะยาว จึงได้รับสิทธิ์พักโทษกรณีพิเศษ ไม่ใช่ดูแข็งแรงแบบที่เห็นนั้น การพักการลงโทษ เป็นไปตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และกฎกระทรวง กำหนดประโยชน์ของนักโทษเด็ดขาด ฯ พ.ศ. 2562 และประกาศกรมราชทัณฑ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาพักการลงโทษ พ.ศ. 2562 ได้กำหนดประโยชน์ที่ผู้ต้องขังเด็ดขาดได้รับ โดยกรณีนายทักษิณเข้าคุณสมบัติที่ได้รับประโยชน์จากการพักการลงโทษกรณีอายุ 70 ปี ขึ้นไป และไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หรือช่วยเหลือตัวเองได้น้อย (โดยผลการประเมินตามแบบประเมินคัดกรองปัญหาสุขภาพผู้สูงอายุ ระยะยาวในชุมชน กรมอนามัยคะแนนไม่เกิน 11 คะแนน) ซึ่งการประเมินดังกล่าวเป็นไปตามแบบเกณฑ์การประเมิน โดยผู้ทำการประเมินได้ดำเนินการประเมินตามสภาพข้อเท็จจริงที่ได้พบเห็นในช่วงระยะเวลาขณะนั้น
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรมกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า กรมราชทัณฑ์ชี้แจงแล้ว ซึ่งร้องเรียนกันมาหลายรอบแล้ว คงไม่มีอะไร ขอให้เป็นหน้าที่ป.ป.ช. หน่วยงานกลางเข้ามาตรวจสอบ ทุกคนมีสิทธิ์ที่ร้องได้ ก็คงต้องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบ ถือเป็นเรื่องธรรมดาในการทำงาน ขอยืนยันการปฏิบัติหน้าที่ ของข้าราชการกระทรวงยุติธรรม และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
“ถ้าอะไรที่กฎหมายไม่เขียนให้เราทำได้ เราก็จะไม่ทำ และถึงแม้ทำได้ เราก็จะต้องดูความเหมาะสม ส่วนใครที่สงสัยก็ยื่นเรื่องไปที่ ป.ป.ช. ก็สามารถถูกตรวจสอบได้อยู่แล้ว” พ.ต.อ.ทวี กล่าว
ส่วนที่นพ.วรงค์ระบุรัฐมนตรีอ่านกฎหมายไม่ดีนั้น พ.ต.อ.ทวีกล่าวว่า กรณีนี้เป็นกฎหมายที่ต่อเนื่องกันมา เพียงแต่ที่ตนพูดไปนั้น ยังไม่รู้รายละเอียด แต่ทราบว่ากรมราชทัณฑ์ชี้แจงแล้วในประเด็นต่างๆ รายละเอียดอยู่ที่ดุลพินิจป.ป.ช. ส่วนตัวยินดีให้ตรวจสอบ ถือเป็นเรื่องที่ดี ถ้ามีข้อสงสัย และจะมีหน่วยงานกลางเข้ามาตรวจสอบ และก่อนหน้านี้ทราบว่าเคยให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบมาแล้ว ซึ่งนพ.วรงค์ ก็พูดเองว่า ผู้จัดการแผ่นดินยุติการสอบเรื่องนี้ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมไม่เสียขวัญ ถ้าเราไม่ทำตามกฎหมาย หรือเราทำตามอำเภอใจ ก็เป็นอีกเรื่อง ดังนั้น ยืนยันว่า เราไม่สามารถ ทำตามอำเภอใจของใครได้ เราต้องทำตามกฎหมายเท่านั้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี