หมายเหตุ : บทความนี้เดิมชื่อ “ประเทศไทยควรเป็นเจ้าภาพจัดประชุม เรื่อง สันติภาพโลก” ซึ่งเขียนโดย ศ.(เกียรติคุณ) นพ.ประเวศ วะสี ก่อนได้รับการปรับปรุงเนื้อหาบางส่วนเพื่อให้สอดคล้องกับพื้นที่ฉบับพิมพ์

“ในประวัติศาสตร์ประเทศไทยได้ใช้วัฒนธรรมไทยแห่งการยืดหยุ่นประนีประนอมเอาตัวรอดมาหลายครั้ง” เช่น ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจยุโรปเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน ที่ชัดเจนที่สุดคือภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นักศึกษาปัญญาชนหลายพันคนหนีเข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์มาจับอาวุธต่อสู้กับอำนาจ ท่ามกลางการต่อสู้ขึ้นอย่างดุเดือดเมื่อคำสั่ง 66/2523 ออกมา การต่อสู้ยุติลงโดยทันที

คำสั่ง 66/2523 เป็นการพลิกความคิด ว่าผู้ต่อสู้อำนาจรัฐไม่ใช่ศัตรูแต่เป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย เมื่อไม่ใช่ศัตรูก็ไม่มีอะไรจะต้องรบกัน นักศึกษาปัญญาชนก็คืนเมืองมาเป็นนักวิชาการบ้าง นักการเมืองบ้าง นักธุรกิจบ้าง ศิลปินบ้าง กลมกลืนกันในสังคมอย่างไร้รอยต่อ “การพลิกความคิด” คือ ความยืดหยุ่น ประนีประนอม “ประเทศไทยจึงควรใช้ทุนทางสันติภาพช่วยโลกสร้างสันติภาพ” ความรุนแรง ความขัดแย้ง ความไร้สันติภาพ เป็นปัญหาใหญ่ที่สุด และไม่มีทางออก และเสี่ยงต่อการเกิดสงครามนิวเคลียร์

“เสน่ห์ไทยเป็นซอฟต์ พาวเวอร์ของไทยที่คนไทยทั้งรัฐและเอกชนควรร่วมกันใช้เพื่อเชิญผู้นำในโลกมาประชุมกันเรื่องสันติภาพโลกในกรุงเทพฯ ให้ได้ ถ้าสามารถออกประกาศแห่งกรุงเทพฯว่า จากการเผชิญหน้าสู่ความร่วมมือกัน สร้างสันติภาพ ขจัดความยากจน ปกป้องรักษาสิ่งแวดล้อม Collaboration for Peace Povrty eradication and Protection of environment โลกจะพลิกโฉมทันที เป็นทางออกที่มีเกียรติของทุกประเทศ การสู้รบทุกชนิดยุติลงและประเทศยุติวิกฤต ประเทศไทยจะมีเกียรติภูมิในฐานะที่มีส่วนสำคัญในการสร้างสันติภาพโลก และจะพลิกโฉมการพัฒนาประเทศไทย”

เพราะสันติภาพโลกกับสันติภาพในจิตใจเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกัน ปณิธานของท่านอาจารย์พุทธทาส ที่ฝากไว้คือ “ช่วยให้มนุษย์ถอนตัวออกจากวัตถุนิยม” ออกจากวัตถุนิยมก็คือ การเข้าไปสู่ความเจริญทางจิตใจ เกิดสุขภาวะและทางปัญญาหรือสุขภาพทางจิตวิญญาณ (Spiritual health) ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ ควรจะมีความเจริญทางจิตใจสูงสุด ซึ่งการขับเคลื่อนเรื่องสันติภาพโลก จะนำมาซึ่งสุขภาวะทางจิตวิญญาณ

อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนามนุษย์!!!