‘วิโรจน์’ นำผู้ประกอบการรถบรรทุก-รถเครนยื่นหนังสือ ป.ป.ช.-ผู้ตรวจการแผ่นดิน ชงข้อแก้ระเบียบตำรวจ กรณีใช้ดุลยพินิจกลั่นแกล้งเรียกส่วย พร้อมแก้ระเบียบแยกหมวดหมู่รถทั้ง 2 ประเภทออกจากกัน
11 มิถุนายน 2568 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) พร้อมคณะ เข้ายื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ใช้อำนาจในการทำข้อเสนอแนะต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ให้พิจารณาจัดทำ หรือปรับปรุงคำสั่ง หรือออกระเบียบมากำกับการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการเรียกตรวจและดำเนินคดีกับรถบรรทุก เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่เรียกตรวจตามอำเภอใจ เพื่อกลั่นแกล้งเรียกรับผลประโยชน์ และใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการค้าสำนวนโดยไม่ตรวจสอบหลักฐานสำคัญ
นายวิโรจน์ กล่าวว่า หลักสำคัญที่มายื่นป.ป.ช.วันนี้เพราะผู้ประกอบกิจการรถบรรทุกและรถเครน ซึ่งประกอบสัมมาอาชีพ ถูกใช้กฎ หมายกลั่นแกล้ง รถบรรทุกที่ไม่ได้บรรทุกเกิน แต่ถูกเรียกตรวจ เป็นการกลั่นแกล้ง ทำให้เสียเวลา เกิดความเสียหายต่อการทำงาน ถูกปรับเพราะส่งสินค้าล่าช้า ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อเรียกรับผลประโยชน์ ทั้งนี้หากมีการบรรทุกน้ำหนักเกินจริง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 134 วรรคสอง พนักงานสอบสวนต้องพิจารณาพยานหลักฐานต่างๆ ยืนยันว่าผู้ต้องหามีการกระทำความผิดจริง แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่ดำเนินการในส่วนนี้ พอเกิน 100-200 กิโลกรัมก็ดำเนินการริบรถบรรทุกที่เป็นเครื่องมือทำมาหากินไว้เป็นตัวประกัน ทั้งๆ ที่ปัจจุบันรถบรรทุกได้มีการติดระบบติดตามจีพีเอส มีการเข้าตาชั่งตั้งแต่ต้นทาง ระหว่างทางก็มี แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไม่ดูเลย
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า การที่เจอตาชั่งลอยชั่งระหว่างทาง ซึ่งจริงๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องตั้งข้อสงสัยกับการสอบเทียบวัดเครื่องมือ คือตาชั่งของตัวเองด้วยซ้ำ แต่ปรากฏว่าไปแจ้งข้อกล่าวหา สุดท้ายอัยการท่านก็สั่งไม่ฟ้อง ในหลายกรณีที่มีน้ำหนักเกินที่ไม่มีนัยยะสำคัญทางธุรกิจศาลท่านก็ยก แต่ปัญหาคือผู้ประกอบการเสียเวลาหลายเดือน แล้วค่าดอกเบี้ยงวดรถ เสียโอกาสในการทำมาหากินจากการถูกกลั่นแกล้ง ในส่วนของรถเครนก็เช่นเดียวกัน ทั้งที่มีการผลิต และซื้อเข้ามาอย่างถูกต้อง ได้มาตรฐาน ใช้งานถูกต้องทั้งภาคเอกชนและราชการ แต่กลับจัดให้อยู่ในหมวดหมู่รถบรรทุก ทำผิดกฎหมายแบบเดียวกันนี้ ถูกเรียกจับ เรียกรับส่วย ซ้ำร้ายช่วงที่ประเทศเกิดภัยพิบัติ น้ำท่วมหรือตึกสตง.ถล่ม ให้นำรถเครนไปช่วย ผู้ประกอบการสอบถามตำรวจว่าจะถูกจับหรือไม่ ก็ปรากฏว่าได้รับการยกเว้น นั่นแสดงว่ากฎหมายที่ใช้อยู่ ไม่ทันสมัยแล้ว และเป็นเครื่องมือให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐบางคนใช้เรียกรับผลประโยชน์
“เมื่อรถบรรทุกมีการตรวจพบว่าบรรทุกน้ำหนักเกินสัก 100-200 กิโลกรัม ความจริงแล้วเจ้าหน้าที่ควรพิจารณาจากจีพีเอสหรือการเข้าด่านชั่งก่อนหน้า ก็พอจะตีความได้ว่ามีเจตนาหรือไม่ แต่เจ้าหน้าที่กลับใช้การริบรถเอาไว้ก่อน แล้วค่อยมากระซิบบอกว่าถ้าไม่อยากให้ริบรถก็จ่ายเงินมาราว 70,000 บาท แล้วให้พนักงานขับทำเอกสารสัญญาปลอมขึ้นมาว่าเช่ารถจากผู้ประกอบการมาวิ่งเองเพื่อที่จะได้ไม่ต้องริบรถ แบบนี้เรียกว่าการค้าสำนวน” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ดังนั้น ตนและสมาคมการขนส่งทางบกจึงมายื่นหนังสือถึงป.ป.ช.ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 32 (3) ของพ.ร.ป.คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ในการทำข้อเสนอแนะไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงคมนาคมเพื่อออกระเบียบกำกับดุลยพินิจของตำรวจเพื่อแก้ปัญหาส่วย รีดไถประชาชน และหลังจากนี้ก็จะไปยื่นที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินด้วย
ด้านนายศิริชัย ศรีเจริญศิลป์ นายกสมาคมขนส่งทางบกแห่งประเทศ ไทย กล่าว ปัจจุบันประเทศไทยมีด่านชั่งตรวจสอบน้ำหนักของกรมทางหลวง 100 กว่าจุด พอเข้าไปชั่งน้ำหนักแล้ว บางเรื่องก็เป็นเรื่องเจ็บปวดของผู้ประกอบการ อาจมีการผิดพลาดจากตาชั่ง ดังนั้นแม้ว่าเรามีตั๋วชั่งที่แสดงว่าเราไม่ได้มีเจตนา แต่กลับตกเป็นเหยื่อของการค้าสำนวน ต้องไปทำเช่าซื้อ 2-3 ช่วงกับพนักงานสอบสวนเบื้องต้น เพื่อทำให้อัยการดูสำนวนว่าเจ้าของรถไม่มีส่วนรู้เห็นเพื่อเสนอไม่ริบรถ ซึ่งการค้าสำนวนนั้นทำให้เราต้องเสียเงินจำนวนมาก จริงๆ การที่มีน้ำหนักเกินมา 100 – 200 กก. นั้นเรารับผิด แต่ไม่ได้เจตนา ดังนั้นขอท่านลงโทษปรับ แต่อย่าริบรถเรา เพื่อจะได้นำรถไปประกอบอาชีพได้ แล้วจะทำให้ปัญหาหารค้าสำนวนหมดไป
ขณะที่นายทองอยู่ คงขันธ์ ประธานสภาการขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหาของรถเครนนั้นเราได้ขอให้มีการแก้ไขประกาศผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดิน หรือการแยกหมวดหมู่รถเครนออกจากรถบรรทุก เนื่องจากวัตถุประสงค์ของรถเครนนั้นใช้ในการยก และปฏิบัติงานในไซต์งาน ได้วิ่งบรรทุกสินค้า ดังนั้นหากแยกออกจากกันได้จะแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง ประการที่สอง รถเครนนำเข้ามาจากต่างประเทศ จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย แต่กลับไม่สามารถนำไปประกอบอาชีพได้ เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ ยืดเยื้อมานาน เป็นเบี้ยล่างเจ้าหน้าที่เรียกรับผลประโยชน์ ดังนั้นต้องแก้ปัญหาให้ถูกจุดคือแก้ประกาศ และแยกหมวดหมู่จากรถบรรทุก หรือจะเพิ่มค่าธรรมเนียมเราก็ยืนดี แต่ต้องเป็นอัตราที่เป็นธรรม และไม่ผลักภาระผู้ประกอบการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันเดียวกันนายวิโรจน์ยังได้เดินทางไปร้องเรียนเรื่องดังกล่าวที่สำนักงานคณะกรรมการผู้ตรวจการแผ่นดิน อีกด้วย ///-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี