ดีเอสไอเดินหน้าลุย
สืบสวน‘เขากระโดง’
ไม่หวั่นแม้เปลี่ยนรบ.
ลุ้นรับเป็น‘คดีพิเศษ’
ดีเอสไอยืนยันเดินหน้าสืบสวนคดี “เขากระโดง” ไม่หวั่นแม้เปลี่ยนขั้วรัฐบาล ระบุ อยู่ระหว่างรอเอกสารเพิ่มเติมจาก “ร.ฟ.ท.-กรมที่ดิน” แย้มหากได้รับคำตอบจากกรมที่ดิน อาจสรุปการรับเป็นคดีพิเศษได้ ด้าน“สว.สำรอง” ยกทัพให้กำลังใจดีเอสไอลุยสุดซอย“คดีฮั้ว สว.” ขออย่ากลัวอำนาจการเปลี่ยนแปลง ระบุ 16 กันยายน เตรียมบุกพรรคประชาชน จี้“หัวหน้าเท้ง-กก.บห.พรรคฯ”ติดตามคดี มองเป็นต้นเหตุการพลิกผันทางการเมือง ต้องร่วมรับผิดชอบ
เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2568 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้อำนวยการกองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยความคืบหน้าการสืบสวนเรื่องที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ว่า สำหรับการสืบสวนคดีเขากระโดง ซึ่งตนเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวน ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนรวบรวมพยานหลักฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและที่ผ่านมาเราได้มีการสอบปากคำเจ้าหน้าที่การรถไฟฯ ที่ได้มาร้องทุกข์กล่าวโทษไปแล้ว ซึ่งอยู่ในที่การรถไฟฯ จะทยอยส่งมอบพยานหลักฐานให้กับพนักงานสืบสวน จากนั้นเราจะได้มีการรวบรวมหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่ได้รับมาจากสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น เราก็ได้ส่งข้อมูลทั้งหมดไปให้ส่วนแผนที่ฯ ของดีเอสไอ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลแผนที่ หลังจากนี้ก็จะรอหลักฐานเอกสารแผนที่พิพาทจากการรถไฟฯ ซึ่งยังคงรออย่างเป็นทางการ
นอกจากนี้ เรายังได้ทำหนังสือขอข้อมูลที่กรมที่ดิน แต่ทางกรมที่ดินยังไม่ได้มีการตอบกลับมา หากทางกรมที่ดินมีการตอบกลับมาจึงจะสามารถตอบได้ว่าเราจะรับเป็นคดีพิเศษได้หรือไม่ ดังนั้น ตอนนี้จึงอยู่ระหว่างรอเอกสารพยานหลักฐานจากกรมที่ดิน และการรถไฟแห่งประเทศไทยเพิ่มเติม
พ.ต.ต.ณฐพล กล่าวอีกว่า สำหรับการสอบปากคำพยาน เรายังคงเน้นไปที่เจ้าหน้าที่การรถไฟแห่งประเทศไทย และสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ กรมที่ดิน ส่วนพยานบุคคลยังไม่มีเรียกมาสอบปากคำ เพราะตอนนี้การรวบรวมพยานหลักฐานเอกสารเป็นเรื่องสำคัญที่สุด โดยเฉพาะข้อมูลที่ปรากฏในสารบบที่ดิน
เมื่อถามว่าหลังจากนี้จะมีการแต่งตั้งอธิบดีกรมที่ดินคนใหม่เข้ามาในส่วนของกระทรวงมหาดไทย หรือรมว.ยุติธรรม จะมีการเปลี่ยนคนจะมีผลต่อการสืบสวนหรือไม่นั้น พ.ต.ต.ณฐพล ย้ำว่า กระบวนการทำคดีเขากระโดงเราทำไปตามกรอบอำนาจหน้าที่ที่มีการรถไฟกล่าวหา ก็จะต้องรวบรวมไปตามกฎหมาย และทำอย่างตรงไปตรงมา และยิ่งเราทำในรูปแบบของคณะพนักงานสืบสวน ก่อนที่จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งก็ต้องมีการประชุมคณะพนักงานสืบสวนจากพยานหลักฐานที่ได้มาทั้งหมดก่อน ตอนนี้จึงอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานจากการรถไฟแห่งประเทศไทยและกรมที่ดิน พร้อมเน้นย้ำว่าไม่มีความกังวลจากการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล
วันเดียวกัน คณะ สว.สำรอง นำโดย พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว พร้อมด้วยเพื่อนสมาชิก ร่วมกันเดินทางมาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อเข้ามอบช่อดอกไม้ให้กำลังใจ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 24/2568 กรณีความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) รวมถึงผู้ที่เป็นสมาชิกอั้งยี่และผู้สนับสนุน หรือคดีอั้งยี่-ฟอกเงิน สว. ในการปฏิบัติหน้าที่สอบสวนคดีและดำเนินคดีให้สุดทาง โดยมี พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค ในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นผู้แทนรับมอบ
นายอัครวัฒน์ พงศ์ธนาชลิตกุล ตัวแทนคณะ สว.สำรอง กล่าวว่า วันนี้มารวมตัวกันเพื่อให้กำลังใจกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในการปฎิบัติหน้าที่ในเรื่องของคดีฟอกเงิน-อั้งยี่ สว. ว่า ขอให้ดำเนินการต่อได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวอะไร วันนี้เรามาเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน เรามีความกังวลใจเลยเดินทางมาให้กำลังใจกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอให้เข้มแข็งและยึดมั่นในข้อกฎหมาย ให้มีความตรงไปตรงมา มีความสุจริตเที่ยงธรรม ไม่ต้องไปกังวลหรือเกรงกลัวกับอะไรทั้งสิ้น กฎหมายต้องศักดิ์สิทธิ์ ถ้ากฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ จะนำไปสู่ความเสียหายให้กับประเทศชาติได้ จึงขอฝากสื่อมวลชนและประชาชนที่อยู่ทางบ้านช่วยกันทำความจริงเรื่องนี้ให้ปรากฏกับพี่น้องประชาชนให้รับทราบโดยเร็ว
ด้าน พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว เผยว่า ในวันอังคารที่ 16 ก.ย. เราจะมีการเดินทางไปที่พรรคประชาชน เพื่อไปร้องขอต่อกรรมการบริหารพรรค และหัวหน้าพรรคให้ช่วยติดตามเรื่องนี้ เพราะถือว่าพรรคประชาชนนั้นเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองพลิกผันจนส่งผลให้กลุ่มคนที่ถูกกล่าวหาขึ้นมามีอำนาจทางการเมือง ซึ่งอาจจะมาแทรกแซงคดี ดังนั้น พรรคประชาชนก็ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วย และจริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของการดำเนินคดีการโกงฮั้ว สว. และที่มันเดินทางมาถึงจุดนี้ ต้องเรียนว่ามันเป็นจุดหักเหเหมือนกัน จากเดิมที่เราเห็นว่าทางคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และ กกต. เดินหน้าอย่างเต็มที่ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็คาดว่าจะมีส่วนที่จะทำให้ในเรื่องของการดำเนินคดี สว. จะมีโอกาสถูกแทรกแซง
“การฮั้ว สว. ครั้งนี้มันมีการกระทำความผิดจริง มีผู้เกี่ยวข้องมากหน้าหลายตาตามที่ปรากฏออกมา เราอยากให้กระบวนการทางกฎหมายได้ดำเนินการกับผู้ที่กระทำความผิดมาลงโทษ หรือมาตีแผ่ความจริง อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของการร้องเรียนคดีนี้ ยอมรับว่า 25% คือพวกผมก็อยากเป็น สว.ตัวจริง แต่ 25% ก็คืออยากให้กระบวนการกฎหมายบ้านเมืองเป็นไปอย่างถูกต้อง อยากให้เกิดการตีแผ่ความจริงและเอาคนผิดมาลงโทษ ส่วนอีก 50% คือ กลัวว่าจะมีกลุ่มคนที่มาฮุบอำนาจนิติบัญญัติและจะมาครอบงำประเทศชาติด้วยการเลือกองค์กรอิสระ หากพวกนี้ทำสำเร็จ ก็จะส่งผลกระทบต่อการเมืองประเทศชาติ ไม่ต่างอะไรจากการปฏิวัติรัฐประหาร ทำให้ประชาธิปไตยของประเทศชาติไม่สมบูรณ์และบิดเบี้ยว” พล.ต.ท.คำรบ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี