กรมหม่อนไหมหนุนเกษตกร ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ส่งเอกชนกลุ่มตลาดไหมอุตสาหกรรม สร้างทางเลือกใหม่ ที่มั่นคงให้เกษตรกรเมืองชัยภูมิ มีรายได้เดือนละกว่า 90,000 บาท ต่อครัวเรือน
21 กันยายน 2568 นายนวนิตย์ พลเคน อธิบดีกรมหม่อนไหม เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ขับเคลื่อนนโยบาย “ตลาดนำการผลิต” เพื่อยกระดับรายได้และสร้างความมั่นคงให้แก่เกษตรกรไทย กรมหม่อนไหมจึง กำหนดเป้าหมายชัดเจนว่า “อาชีพเลี้ยงไหม” จะไม่ใช่เพียงอาชีพเสริมอีกต่อไป แต่สามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงในฐานะอาชีพหลัก เนื่องจากความต้องการของตลาดยังคงเติบโตต่อเนื่องและมีแนวโน้มขยายตัวอย่างยั่งยืน กรมหม่อนไหม จึงได้ส่งเสริมเกษตรกรเลี้ยงไหมอุตสาหกรรม พร้อมทำหน้าที่ประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน ผ่านการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อสร้างความมั่นใจว่าผลผลิตมีตลาดรองรับแน่นอน กับบริษัทผู้รับซื้อโดยตรง โดยแตกต่างจากไหมหัตถกรรมที่เกษตรกรต้องสาวไหมเอง ไหมอุตสาหกรรมสามารถขายเป็นรังไหมทั้งรัง หรือรังปาดให้กับภาคเอกชนได้โดยตรง
ทั้งนี้การเลี้ยงไหมอุตสาหกรรมที่จะสร้างรายได้ที่มั่นคง สำเร็จ และยั่งยืนได้นั้น เกษตรกรจำเป็นต้องรักษามาตรฐาน ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ ซึ่งกรมหม่อนไหมได้สนับสนุนและส่งเสริมอย่างใกล้ชิด โดยจังหวัดชัยภูมิถือเป็นพื้นที่สำคัญที่มีเกษตรกรเลี้ยงไหมอุตสาหกรรมมากที่สุดในประเทศ ผลผลิตรังไหมกว่า 376 ตันต่อปี สร้างรายได้กว่า 91 ล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่า ‘อาชีพนี้’ ไม่ใช่เพียงการสืบสานวัฒนธรรม แต่ยังเป็นเสาหลักแห่งความมั่นคงทางเศรษฐกิจของครอบครัว
ปัจจุบัน บริษัทจุลไหมไทย จำกัด ในจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นผู้รับซื้อรังไหมมีจุดรับซื้อกระจายใกล้พื้นที่ ดังนั้นเวลาส่งไหมใบอ่อนจะส่งได้ง่ายเวลาขายรังไหมก็เอาไปขายได้ง่ายเช่นกัน นอกจากนี้ ตัวเกษตรกรในพื้นที่ พร้อมระบบคอนแทคฟาร์มมิ่งกับบริษัท จุลไหมไทย จำกัด ที่ช่วยการันตีรายได้ขั้นต่ำครัวเรือนละ 15,000 บาทถึง 30,000บาทต่อเดือน และบางครัวเรือนที่บริหารจัดการดีๆ สร้างรายได้มากกว่า 90,000 บาทต่อเดือน จึงน่าจะเป็นอีกทางเลือกที่จะสร้างรายได้ให้เกษตรกรที่มั่นคง
“แต่ก่อนเราเลี้ยงไหมแล้วก็สาวเป็นเส้นแล้วเอาไปทอเป็นผ้าไหมแต่วันนี้ไม่ใช่แล้วเขาขายรังไหมให้เอกชนไปสาวเองและบางครั้งบริษัท ฯ ก็ซื้อไปก็ไม่ได้ขายในรูปแบบของเส้นไหมอย่างเดียวเขาขายแบบรังปาดที่จะส่งไปยังต่างประเทศ เพื่อที่จะเอาไปทำพวกสารสกัดป้องกันรักษาความสดของผักผลไม้แล้วก็เนื้อสัตว์ นอกจากนี้ยังมีการสกัดโปรตีนจากรังไหมอีกหนึ่งรูปแบบเพื่อเอาไปทำเครื่องสำอาง วันนี้นับว่า ตลาดกว้างขึ้นทำให้ความต้องการของตลาดมากขึ้นไปด้วย เกษตรกรจึงไม่พบปัญหากับราคาแต่อย่างใด” “นายนวนิตกล่าว
ด้านนางษมาพร คงควร ผู้อำนวยการศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ ชัยภูมิ กล่าวว่า ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ ชัยภูมิ มีภารกิจสำคัญในการหางบประมาณจากกรมหม่อนไหม เพื่อนำมาสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่ ทั้งด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี การฝึกอบรม การจัดสรรวัสดุอุปกรณ์ทางการเกษตรที่จำเป็น รวมทั้งส่งเสริมการปลูกต้นพันธุ์หม่อนที่ให้ผลผลิตสูง เพื่อให้เกษตรกรนำไปใช้ในการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมอย่างต่อเนื่อง และปัจจุบัน การเลี้ยงไหมอุตสาหกรรมของเกษตรกรได้กลายเป็นอีกทางเลือกของเกษตรกรในการสร้างเศรษฐกิจระดับอุตสาหกรรม
โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไหมในอ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ จะเลี้ยงไหมในเชิงพาณิชย์ ที่เกษตรกรจะไม่สาวเส้นเอง แต่ขายรังไหมให้โรงงานนำไปสาวด้วยเครื่องจักรสมัยใหม่ ทำให้ได้เส้นไหมปริมาณมากและคุณภาพสม่ำเสมอ รองรับความต้องการของอุตสาหกรรมสิ่งทอระดับประเทศ โดยหัวใจสำคัญของการเลี้ยงไหมเพื่ออุตสาหกรรมของที่นี่ คือระบบเกษตรแบบพันธสัญญา ที่มีบริษัทเอกชนเข้ามารับซื้อในราคาที่เป็นธรรมและแน่นอน เกษตรกรจึงมั่นใจได้ว่า ความทุ่มเทและแรงกายแรงใจที่ลงทุนไป จะเปลี่ยนเป็นรายได้ที่มั่นคงอย่างแท้จริง ปัจจุบัน มีเกษตรกรขึ้นทะเบียนเลี้ยงไหมอุตสาหกรรมประมาณ 1,400 ราย ซึ่งหากทุกครัวเรือนเลี้ยงไหมครบถ้วน จะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเมื่อพื้นที่ปลูกหม่อนขยายมากขึ้น ปริมาณรังไหมก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกัน ยังมีเกษตรกรรายใหม่ ๆ ที่สนใจเข้ามาทำไหมอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้ผลผลิตโดยรวมเพิ่มขึ้นในทุกปี
ด้านนางบุญโฮม และนายคำผลาญ มีสำราญ 2 สามีภรรยา เกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ที่ อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ เปิดเผยว่า เดิมปลูกอ้อยและข้าวมาก่อน แต่มักประสบปัญหาด้านราคาที่ไม่แน่นอน ทำให้ต้องมีการศึกษาหาวิธีที่จะสร้างรายได้เพื่อเอาตัวรอดให้กับครอบครัว เนื่องจากมีลูกที่กำลังศึกษา เมื่อทางกรมหม่อนไหมได้เข้ามาแนะนำให้มีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมอุตสาหกรรมจึงเข้ามาศึกษาและหวังว่า จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะสร้างรายได้ให้กับครอบครัว โดยทดลองเริ่มต้นเลี้ยงไหมเพียงถาดเดียว และเริ่มปลูกหม่อนในพื้นที่ไม่กี่ไร่เมื่อ 6 ปี ก่อน
ปัจจุบันขยับขยายเพิ่มมากขึ้น จนทุกวันนี้มีรายได้เข้าบ้านไม่น้อยกว่าหมื่นบาทต่อเดือน โดยตนวางเป้าหมายไว้อย่างชัดเจน ว่าจะยึดอาชีพเลี้ยงไหมเป็นหลักเพราะเป็นอาชีพที่ค่อนข้างสร้างรายได้ที่มั่นคงและมีตลาดขยายตัวต่อเนื่อง ขณะนี้มีเกษตรกรเริ่มหันมาให้ความสนใจที่จะเลี้ยงไหมอุตสาหกรรมมากขึ้น หลังจากโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งได้ทยอยปิดตัว จึงถือเป็นทางเลือกที่ดีของแรงงานคืนถิ่น
ด้านนายศุภณัฏฐ์ เกิดวงศ์ลี รองผู้จัดการฝ่ายส่งเสริม บริษัท จุลไหมไทย จำกัด กล่าวว่า บริษัท จุลไหมไทย จำกัด รับซื้อรังไหมจากเกษตกร จะซื้อในราคา 250 บาทต่อกิโลกรัม โดยจะตีราคาตามเปอร์เซ็นต์เปลือกรังหรือความหนาของรัง ถ้าความหนา20 เปอร์เซ็นต์ ก็จะซื้อในราคา 250 บาท แต่ถ้าคุณภาพดีขึ้นเกษตรกรดูแลดี รังใหญ่รังมีคุณภาพดีก็สามารถซื้อในราคาที่สูงขึ้นปัจจุบันมี 300 กว่าบาทต่อกิโลกรัม
วันนี้ “อาชีพเลี้ยงไหมอุตสาหกรรม จึงไม่ใช่เป็นเพียงงานอนุรักษ์ภูมิปัญญา หากแต่เป็นอีกหนึ่งพลังเศรษฐกิจที่สร้างอนาคตให้เกษตรกรไทย และชัยภูมิก็กำลังเป็นต้นแบบของการพลิกอาชีพดั้งเดิม สู่ธุรกิจการเกษตรที่มั่นคงในระดับอุตสาหกรรม.
012
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี