’รมว.นฤมล‘เดินหน้าลดภาระครู ปรับเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะ-แก้หนี้ครู-พ.ร.บ.การศึกษา

’รมว.นฤมล‘เดินหน้าลดภาระครู ปรับเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะ-แก้หนี้ครู-พ.ร.บ.การศึกษา

วันพฤหัสบดี ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2568, 21.30 น.

’รมว.นฤมล‘ เดินหน้าลดภาระครู-ปรับเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะ-แก้หนี้ครู-พ.ร.บ.การศึกษา -ส่งเสริมวิชาประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง

25 กันยายน 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานการประชุมสัมมนาผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ ครั้งที่ 1/2568 โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) พร้อมผู้บริหารระดับสูงของ สพฐ, รวมถึงผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 245 เขตทั่วประเทศ และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ ห้องคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ 


ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า วันนี้ไม่ได้มาให้นโยบาย แต่มาพบปะผู้บริหาร สพฐ. และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 245 เขต เป็นการมาพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจร่วมกันและเตรียมการล่วงหน้า โดยประเด็นเร่งด่วนที่กระทรวงศึกษาธิการจะดำเนินการทันที คือ การลดภาระค่าครองชีพและการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู ซึ่งตนได้หารือกับนายกรัฐมนตรี ว่า จะผลักดันเรื่องการแก้ปัญหาหนี้สินครูซึ่งก็สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่นายก ฯ จะแถลงต่อสภาเรื่องหนี้ภาคประชาชน ซึ่งก็รวมหนี้ครูไว้ในกลุ่มหนี้สินภาคประชาชนด้วยแล้ว และ ศธ.จะเดินหน้าจัดตั้งสหกรณ์กลาง เพื่อรวมหนี้ครูจากสหกรณ์ต่างๆ มาไว้ที่สหกรณ์กลาง และลดดอกเบี้ยต่ำลง แต่มีเงื่อนไขว่าครูจะไม่สร้างหนี้เพิ่ม ซึ่งขณะนี้ เลขาธิการ สกสค. ได้ประสานกับ สำนักงบฯ กระทรวงการคลัง, และส่วนงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำโครงการฯ เสนอมาให้ตนเห็นชอบแล้ว รอเพียงเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบสนับสนุนงบเพื่อจัดตั้งสหกรณ์กลางต่อไป

รมว.ศธ.กล่าวต่อว่า ในส่วนการปรับปรุงระบบวิทยฐานะครู ที่ผ่านมาเกณฑ์ประเมินมักไม่สอดคล้องกับภารกิจของครู ทำให้ครูจำนวนไม่น้อยไม่สามารถก้าวหน้าทางวิชาชีพได้อย่างเป็นธรรม แนวทางใหม่จะมีการปรับโครงสร้างผู้ประเมิน โดยกำหนดให้ผู้ประเมินต้องมีประสบการณ์ตรงในสายงาน เช่น ครูประถมต้องได้รับการประเมินจากผู้มีประสบการณ์ด้านประถมศึกษา ครูมัธยมฯ ต้องถูกประเมินโดยผู้ที่เข้าใจบริบทงานมัธยมฯ ครูอาชีวะฯ ต้องมีผู้เชี่ยวชาญงานอาชีวะเป็นผู้ประเมิน ทั้งนี้ เพื่อให้การตัดสิน ตรงกับความเป็นจริง และเป็นธรรมกับผู้ถูกประเมินมากขึ้น นอกจากนี้ ก.ค.ศ. ควรเปิดทางเลือกให้ครูใช้ผลงานการสอน หรือผลงานเชิงประจักษ์ แทนผลงานวิจัยเพียงอย่างเดียว คล้ายแนวทาง “teaching track” และ “research track” ของต่างประเทศ ที่ รวมทั้งกำหนดให้จำนวนครูที่สามารถเลื่อนวิทยฐานะได้ เป็นหนึ่งใน KPI ของผู้อำนวยการเขตพื้นที่ฯ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริหารสนับสนุนครูอย่างจริงจัง โดยต้องจัดทำหลักเกณฑ์การประเมินที่ชัดเจน โปร่งใส และเปิดให้ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน 

“หากแก้ปัญหาเรื่องการขอเลื่อนวิทยฐานะได้สมเหตุสมผล จะทำให้ครูได้วิทยฐานะสูงขึ้น ครูมีรายได้สูงขึ้นด้วย จึงอยากให้ ผอ.สพท. สนับสนุนผู้อยู่ภายใต้การดูแล ให้ได้รับวิทยฐานะมากที่สุด และหวังว่าบรรยากาศการส่งเสริมจะเกิดขึ้นในกระทรวงศึกษา ใน สพฐ.และในแต่ละเขตพื้นที่ฯให้ช่วยกันส่งเสริมสนับสนุน ไม่ชักบันไดออก ขอให้สร้างบันไดเยอะๆ ให้น้องๆขึ้นมาอยู่ด้วยกัน มาช่วยกัน เพราะจะนำไปสู่เรื่องของความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และความภาคภูมิใจในอาชีพ“ รมว.ศธ.กล่าว            

รมว.ศธ. กล่าวด้วยว่า เรื่องการลดภาระงานครู ผอ.เขตพื้นที่ฯ ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดย ศธ. จะใช้อัตราเกษียณ 38(ค)เพิ่มเป็นตำแหน่งสายสนับสนุน จำนวน 1,706 อัตรา ไปให้พื้นที่ต่างๆเพื่อบรรเทาภาระงานที่ไม่ใช่งานสอน เช่น งานธุรการ งานพัสดุ งานซ่อมบำรุง ฯลฯ โดยคาดว่าจะสามารถจัดสรรให้เขตพื้นที่การศึกษาต่าง ๆได้ภายในสัปดาห์ถัดไปหลังการแถลงนโยบายรัฐบาล เพื่อให้ครูสามารถทุ่มเทให้กับการสอนและดูแลเด็กได้อย่างเต็มศักยภาพ

รมว.ศธ. กล่าวต่อว่า สำหรับการผลักดันร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาตินั้น ต้องการให้สำเร็จภายในรัฐบาลชุดนี้ เนื่องจากในอดีต พ.ร.บ.การศึกษาเคยถูกเลื่อนพิจารณาออกไปหลายครั้งเมื่อเข้าสู่การประชุมสภา แต่ครั้งนี้รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการมุ่งมั่นที่จะทำให้ร่างกฎหมายการศึกษาได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภาให้ได้ โดยได้หารือกับกรรมาธิการการศึกษาทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านซึ่งต่างมีท่าทีพร้อมสนับสนุน หากมีการปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดให้เหมาะสม ดังนั้น หาก พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ผ่านความเห็นชอบ จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของการปฏิรูประบบการศึกษาไทย ทั้งด้านโครงสร้างหลักสูตร การประเมินคุณภาพผู้เรียน การกระจายอำนาจการบริหารจัดการ และการกำหนดบทบาทหน่วยงานด้านการศึกษาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น  ซึ่งเลขาธิการกฤษฎีกา ระยุว่าให้เขียนเป็นกฏหมายการศึกษาแห่งชาติ อยู่ในคำแถลงนโยบายต่อสภาด้วยแล้ว

“อีกเรื่องสำคัญที่อยากฝากไว้ คือ การศึกษาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงวิชาทางสาย STEM อย่าง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ เท่านั้น แต่ยังต้องส่งเสริมความถนัดด้านอื่นของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นด้านศิลปะ ดนตรี กีฬา ภาษา หรือทักษะทางสังคม รวมถึงวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ต้องได้รับความสำคัญเพิ่มขึ้น ทั้งในด้านการจัดการเรียนการสอน และการบรรจุเข้าสู่ระบบการสอบ เพื่อสร้างความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อให้เด็กเจนใหม่เข้าใจระบอบการปกครองของไทยได้อย่างถ่องแท้ และป้องกันไม่ให้เด็กได้รับข้อมูลที่ผิด ๆ จึงขอฝากให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และบุคลากรในพื้นที่ ร่วมกันสนับสนุนการสอนวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง เพื่อสร้างความเข้าใจต่อระบอบประชาธิปไตย บทบาทพลเมือง และสถาบันหลักของชาติต่อไป“ รมว.ศธ. กล่าว

ด้าน ว่าที่ร้อยตรี ธนุ  กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ นับเป็นโอกาสสำคัญเนื่องจากเป็นการประชุม onsite ครั้งแรกในรอบ 2 ปี และเป็นการประชุม ผอ.เขต ครั้งสุดท้ายของปีงบประมาณ 2568 เพื่อให้ผู้บริหาร สพฐ. และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 245 เขต ได้รับฟังแนวทางการดำเนินงานจาก ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศธ. ซึ่งจะเป็นทิศทางสำคัญสำหรับการดำเนินงานในปีงบประมาณต่อไป พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลการปฏิบัติงานจากทุกเขตตรวจราชการ รวมถึงสรุปผลการดำเนินงาน การถอดบทเรียน การรับฟังข้อเสนอแนะจากพื้นที่ต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการดำเนินงานในอนาคต การประชุมครั้งนี้จึงเป็นทั้งการทบทวนความสำเร็จ และการจัดเตรียมแนวทางที่จะช่วยให้การนำนโยบายระดับชาติมาสู่โรงเรียนให้เกิดผลอย่างแท้จริง และเกิดคุณภาพกับผู้เรียนทุกคนอย่างยั่งยืน.

012

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top