รอบรั้วเมืองใต้ : 16 ตุลาคม 2568

รอบรั้วเมืองใต้ : 16 ตุลาคม 2568

วันพฤหัสบดี ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 02.00 น.
Tag :

รอบรั้วเมืองใต้ในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับนี้ ผู้เขียนขอเข้าร่ายข่าวสังคม  ชมคนที่ควรชม ข่มคนที่ควรข่ม ตามวิสัยคนหนังสือพิมพ์อาชีพ ที่เห็นมาอย่างไร ก็เขียนไปอย่างนั้น...เรื่องของยิว หรือชาวอิสราเอล ที่เข้ามายึดหัวหาด ในพื้นที่ เกาะพงัน และเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เป็นฐานในการทำมาหากิน ทั้งด้านการท่องเที่ยว และ อื่นๆ มีการซื้อที่ดิน ซื้ออาคาร โดยการใช้นอมินี เป็นตัวแทน ในการดำเนินการซึ่งไม่แตกต่างกับที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ที่มีชาวยิว เข้ามายึดหัวหาด ในการถือครองที่ดิน และการทำมาหากิน นับหมื่นๆคน  ที่เป็นเช่นนี้ ไม่ต้องไปโทษใคร ต้องโทษ เจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งตำรวจท้องที่,ตำรวจท่องเที่ยว,ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง, และฝ่ายปกครอง สุดท้ายฝีแตก กลายเป็นข่าวใหญ่โต จนพล.ต.ท.ยงยศ เทพจำนงศ์  ผู้ช่วย ผบ.ตร. ต้องลงมา แก้ปัญหา ด้วยตนเอง ..... ไม่ต่างกับเรื่องสวนปาล์ม ของกลุ่มทุน ใน จ.ชุมพร .จ.กระบี่และอีกหลายจังหวัดในภาคใต้ตอนบน ที่หมดสัมปทานไปแล้วกว่า 10 ปี แต่หน่วยงานของรัฐ ในพื้นที่ ที่สังกัด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งฝ่ายปกครอง หรือผู้ว่าราชการจังหวัด ไม่เคยจัดการในการนำสวนปาล์ม ที่หมดสัมปทานแล้ว มาดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ปล่อยให้ นายทุน และกลุ่มอิทธิพล ในพ้นที่เข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งอาจจะมีเจ้าหน้าที่ มีส่วนร่วม เพราะถ้าเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่มีส่วนร่วม เชื่อเถอะ เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นไม่ได้ วันนี้กระทรวงทรัพย์ฯ มีสุชาติ ชมกลิ่น เป็นเสนาบดี แทน เฉลิมชัย ศรีอ่อน และม็อบ และเรื่องการแย่งชิงสวนปาล์ม ที่หมดสัมปทานแล้ว ระหว่างผู้ที่ไม่มีที่ทำกิน กับกลุ่มอิทธิพล และกลุ่มทุนยังไม่เลิกรา มีการบุกรุก มีการใช้กำลัง และอาวุธ ซึ่งหากหน่วยงานองรัฐ ยังไม่ดำเนินการให้ถูกต้อง เรื่องการแย่งชิงส่วนปาล์ม อาจจะบานปลาย และนองเลือดก็เป็นได้....อีกเรื่องที่ชายแดนไทย-เมียนมาด้าน อ.กระบุรี จ.ระนอง ที่คนไทย 40ครัวเรือน เข้าไปทำกินในพื้นที่แนวชายแดนของทั้ง 2 ประเทศ ด้วยการปลูกทุเรียน-ยางพารา ในเนื้อที่ 3,000 กว่าไร่ ทุกปี คนไทย เจ้าของสวน สามารถนำผลผลิต มาจำหน่าย ในประเทศไทยได้ แต่ปีนี้ ทหารจากกองกำลังเทพสตรี ทำการจับกุม คนไทย ที่นำผลผลิต เข้ามาขาย ในข้อหาหลบหนีเข้าเมือง และห้ามมิให้นำผลผลิตเข้ามาในประเทศไทย โดย อ้างว่าที่ทำกิน ของคนไทยเป็นแผ่นดินของเมียนมา ทั้งที่ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของเมียนมา ไม่เคยมีการยืนยันว่าที่ดินที่คนไทยทำกินทั้ง 40 ครัวเรือน จำนวน 3,000 ไร่ เป็นของประเทศเมียนมา เพราะชายแดน ด้านจังหวัดระนอง ยังไม่มีการปักปันเขตแดน ยังตอบไม่ได้ว่าที่ซึ่งคนไทย เข้าไปทำกิน เป็นของประเทศไหน การที่กองกำลังเทพสตรี ห้ามให้คนไทย นำผลผลิต เข้ามาขาย และจับกุมคนไทย ในข้อหาหลบหนีเข้าเมือง จึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และทำให้ประเทศไทย อาจจะเสียดินแดน ที่ยังไม่ได้ปักปันเขตแดน ให้กับประเทศเมียนมา เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และเป็นความเดือดร้อนของประชาชนไทย ที่ต้องฝากให้พล.ท.นรธิป โพยนอก แม่ทัพภาคที่ 4 ต้องดำเนินการเพื่อหาทางออก ให้กับราษฏร์ไทย ที่เข้าไปทำกิน ในที่ดินที่ยังไม่ได้มีการปักปันเขตแดน ในเมื่อเมียนมา ยังไม่ได้อ้างสิทธิ์ มีเหตุผลอะไร ที่เจ้าหน้าที่ทหาร ที่ปฏิบัติหน้าที่ ในแนวชายแดนด้าน อ.กระบุรี จ.ระนอง จะต้องไปตัดสิน ว่าเป็นแผ่นดินของเมียนมา ในเมื่อคนไทย เข้าไปทำกิน มาเป็นเวลานับสิบปี และทุกปีที่ผ่านมา ก็มีการนำผลผลิต เข้ามาขายในประเทศไทย มาโดยตลอด เพิ่งจะมีปัญหาในปีนี้ และการที่ตำรวจ สภ.กระบุรี จ.ระนอง ดำเนินคดีกับชาวบ้าน ในข้อหาหลบหนีเข้าเมือง เป็นการเอาหลักฐาน อะไรมาตั้งข้อหา เป็นการดำเนินคดี ที่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือไม่ เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ซึ่งเป็นฝ่ายปกครอง และ ผบก.ภ.จว.ชุมพร  อย่าปัดสวะ ให้พ้นตัว ต้องมีการร่วมกันแก้ปัญหา ให้กับประชาชน ที่ได้รับความเดือดร้อน....และสิ่งที่ประชาชนชาวไทย เขารู้ว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม คือ ผลผลิตของประชาชน ที่ทำกินในแผ่นดิน ที่เมียนมา ยังไม่ยอมรับว่าเป็นเจ้าของ นำเข้ามาขายในประเทศไทยไม่ได้ แต่ผลผลิต จาก เมียนมา ทั้งยางพารา,ปาล์มน้ำมัน,หอยลาย,ปูดำ ที่เป็นสินค้าหลบหนีข้ามแดน ทำไมจึงมีการนำข้ามพรมแดน อย่างครึกโครม ตามช่องทางธรรมชาติ โดยไม่ถูกจับกุม ชาวบ้านรู้นะ ว่าแพปลาไหน เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง และนายทุนคนไหน ที่เป็นผู้รับซื้อยางพารา,ปาล์มน้ำมัน เรื่องนี้จะให้ประชาชนเข้าใจอย่างไร หรือต้องให้ชาวบ้าน ต้องลุกขึ้นรบนาย เพื่อให้หายจน เหมือนในอดีต....แต่ไอ้ที่ควรดำเนินการกลับไม่ดำเนินการ นั้นคือการที่กลุ่มทุน ในพื้นที่ จ.ชุมพร นำเครื่องจักรกล ตัดเส้นทาง จากชายแดนไทย-เมียนมา ด้านต.ลับล่อ-สลุย อ.สวี จ.ชุมพร เพื่อโค่นป่า ในฝั่งเมียนมา ที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดนนำที่ดินมาขาย ให้กับผู้ต้องการ ที่ดินทำกิน ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ในเรื่องนี้ต้องเป็นกลุ่มทุนที่มีอิทธิพลและต้องมีคนมีสี เป็นผู้สนับสนุน จึงจะทำได้ และนี้คือเรื่องที่กองทัพภาคที่4 ต้องเร่งดำเนินการ อย่าให้ชาวบ้านต้องนินทา ว่า ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ ในแนวชายแดนไทย-เมียนมา เก่งแต่กับชาวบ้าน แต่ไม่กล้าที่จะแตะต้อง กลุ่มของนายทุน เรื่องนี้นอกจากขอให้ แม่ทัพภาคที่ 4 ให้ความสนใจแล้ว พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ.ก็ต้องติดตามเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงกลุ่มทุนสีเขียวของกองทัพภาคที่ 4 ด้วย.....

ปรีชา สถิตเรืองศักดิ์


โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top