​4องค์กรแพทย์ขยับ ยื่นหนังสือถึง‘รมว.สธ.’ แก้วิกฤต‘สปสช.’ลดงบ

​4องค์กรแพทย์ขยับ ยื่นหนังสือถึง‘รมว.สธ.’ แก้วิกฤต‘สปสช.’ลดงบ

วันอังคาร ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

4องค์กรแพทย์ขยับ

ยื่นหนังสือถึงรมว.สธ.

แก้วิกฤตสปสช.ลดงบ

4 องค์กรแพทย์ ยื่นหนังสือถึงรมว.สาธารณสุขแก้วิกฤต สปสช.จัดสรรงบลดลง ทำรพ.รัฐขาดสภาพคล่อง ขณะที่ สปสช. โต้ข้อมูลหมอวีตัวเลขค้างจ่ายแต่ละโรงพยาบาล ไม่เป็นความจริง โอนงบผู้ป่วยในให้รพ.ในรอบสิงหาคม-กันยายน ไปแล้ว 3,108 ล้านบาท ภายในสัปดาห์นี้ จะโอนอีก 2,753 ล้านบาท ยืนยันเป็นการจ่ายตามประกาศหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และจ่ายในรอบปกติตามแผนที่กำหนดไว้แล้ว

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ชมรมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ชมรมโรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไป ชมรมโรงพยาบาลสถาบันกรมการแพทย์ และ คณะกรรมการโรงพยาบาลในกลุ่ม สถาบันแพทย์แห่งประเทศไทยหรือ ยูฮอสเน็ต (Uhosnet) เตรียมประสานขอเข้าพบและยื่นหนังสือถึง นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บอร์ดสปสช.)


พร้อมทั้งร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึก เรื่อง ขอความเป็นธรรมให้หน่วยบริการภาครัฐ

สืบเนื่องจากการบริหารจัดการงบผู้ป่วยในของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีปัญหากระทบต่อสถานการณ์การเงินของโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศมาตลอด ทั้งปัญหาการกำหนดอัตราจ่ายเพียง 8,350 บาทต่อ 1 น้ำหนักสัมพัทธ์ ซึ่งต่ำมาก เพียง 63%ของต้นต้นทุน (ต้นทุนที่มีการวิจัยเมื่อ 5 ปีที่แล้ว คือ 13,240 บาทต่อ 1 น้ำหนักสัมพัทธ์) และยังมีการเรียกเงินที่จ่ายไปแล้วคืน ตอนปลายปีงบประมาณมาณ 2 ปีงประมาณปี 2568 ทาง สปสช.ได้ยอมรับในหลักการที่จะคงอัตราจ่ายที่ 8,350 บาท และมีการเสนอของบกลางจากรัฐบาลมาแก้ปัญหาไม่เพียงพอเนื่องจากมีผู้มารับบริการมากเกินกว่าที่คาดการณ์

แต่เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 ทาง สปสช.ได้จัดส่งยอดงบผู้ป่วยในตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2568ถึง 15 กันยายน 2568 ถึงทุกโรงพยาบาล แต่กลับมีการดำเนินการขัดกับที่ได้ตกลงไว้ทั้งในที่ประชุมทุกคณะ และทั้งในสื่อสาธารณะต่างๆ โดยมีการคำนวนย้อนกลับ Rerun ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2567 ถึง 31 กรกฎาคม 2568 ส่งผลให้อัตราจ่ายลดลงเหลือไม่ถึง 7,000 บาทต่อ 1 น้ำหนักสัมพัทธ์ในหลายโรงพยาบาล และมีการดึงเงินคืนจำนวนมากในทุกโรงพยาบาล

นอกจากนั้นสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติยังมีการนำผลตรวจสอบคุณภาพเวชระเบียนมาขยายผล 33 เท่าเพื่อหักเงินเพิ่มจากโรงพยาบาลอีกด้วย

หน่วยบริการสาธารณสุข จึงขอเรียกร้องต่อท่านให้ช่วยดำเนินการดังต่อไปนี้ ยกเลิกการนำผลตรวจสอบเวชระเบียนมาขยายผล 33 เท่า เพื่อหักงบผู้ป่วยในของทุกโรงพยาบาล ยกเลิกการคำนวณย้อนกลับ Rerun แล้วหักเงินคืนจากโรงพยาบาล โดยกรณีที่งบผู้ป่วยในไม่เพียงพอให้สปสช.บันทึกเป็นลูกหนี้ของโรงพยาบาลแทน เมื่อได้รับงบประมาณเพิ่มเติมให้รีบดำเนินการชำระหนี้ดังกล่าวให้โรงพยาบาลทันที

อนึ่ง การบริหารจัดการงบผู้ป่วยในนั้น ปัจจุบันเป็นการบริหารแบบงบปลายปิดอยู่แล้ว โดยคำนวณจ่ายในอัตราเดียวแบบกลุ่มโรค(DRG)ไม่ว่าโรงพยาบาลจะใช้ยา เทคโนโลยีการรักษา มากน้อยเท่าใดก็ตาม จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะบริหารงบปลายปิดแบบซ้ำซ้อนอีก

ขณะที่ นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก Veerapun Suvannamai ระบุว่า 4 องค์กรแพทย์ลุยแล้ว! ถ้าไม่จบผมและเพื่อน สว. จะยื่นญัตติอภิปรายในสภาต่อไป

ชมรมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ชมรมโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป ชมรมโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ และเครือข่ายสถาบันแพทย์แห่งประเทศไทย (Uhosnet) โดยทั้งหมดได้ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรี ขอให้ทบทวนการบริหารงบผู้ป่วยในของ สปสช. จุดปัญหาหลักคืออัตราจ่ายค่ารักษาผู้ป่วยในที่กำหนดไว้เพียง 8,350 บาทต่อหนึ่งน้ำหนักสัมพัทธ์ ซึ่งคิดเป็นเพียง 63 เปอร์เซ็นต์ของต้นทุนจริงที่เคยวิจัยไว้กว่า 13,000 บาท และล่าสุดยังมีการคำนวณย้อนหลังเพื่อลดอัตราจ่ายเหลือไม่ถึง 7,000 บาท พร้อมเรียกเงินคืนจากโรงพยาบาลทั่วประเทศ

นอกจากนี้ยังมีการนำผลตรวจเวชระเบียนบางส่วนมาขยายผลถึง 33 เท่าเพื่อหักเงินเพิ่มจากโรงพยาบาล ซึ่งทุกฝ่ายเห็นว่าเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ที่ย่ำแย่อยู่แล้ว

องค์กรแพทย์เรียกร้องให้ยกเลิกการขยายผลตรวจเวชระเบียน 33 เท่า ยกเลิกการคำนวณย้อนหลัง และหากงบไม่เพียงพอให้ สปสช. บันทึกเป็นลูกหนี้ของโรงพยาบาลแทน พร้อมชำระทันทีเมื่อได้รับงบเพิ่มเติม

โรงพยาบาลจำนวนมากกำลังเผชิญภาวะการเงินวิกฤต หากยังคงบริหารงบในลักษณะนี้ต่อไป อาจกระทบต่อความมั่นคงของระบบบริการสาธารณสุขทั้งประเทศ ผมและเพื่อนสมาชิกวุฒิสภาหลายท่านยังคงรอดูว่าท่านรัฐมนตรีจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร? หากไม่มีการดำเนินการใดๆ เพื่อหาทางออกที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

ผม และ สว.รัชนีกร ทองทิพย์ เป็นอาทิและ สว. ท่านอื่นๆ จะขอยื่นญัตติอภิปรายในสภาต่อไป

ทางด้าน ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในฐานะโฆษก สปสช. กล่าวว่า ตามที่ นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สมาชิกวุฒิสภา ได้โพสต์ Facebook ระบุว่า สปสช. ค้างจ่ายเงินค่าบริการให้กับหน่วยบริการเกือบทั่วประเทศนั้น และต่อมา สปสช. ได้ชี้แจงทางเว็บไซต์ สปสช. และ Facebook สปสช. ในวันเดียวกันคือวันที่ 18 ตุลาคม 2568 แต่ยังพบว่ามีสื่อมวลชนหลายแห่งยังคงนำโพสต์ Facebook ของ นพ.วีระพันธ์ ไปเผยแพร่ต่อ

สปสช. จึงขอชี้แจงอีกครั้งว่าตัวเลขค้างจ่ายดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2568 สปสช. ได้โอนเงินค่าบริการผู้ป่วยใน (IP) ในรอบผลงานบริการเดือนสิงหาคม – 15 กันยายน 2568 ให้กับหน่วยบริการแล้ว จำนวน 756 ล้านบาท โดยเป็นการโอนจ่ายตามรอบปกติของการดำเนินการตามแผน ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงของการปิดปีงบประมาณ 2568 และในวันที่ 19 ตุลาคม 2568 สปสช. ได้โอนงบบบริการผู้ป่วยใน (IP) ในรอบบริการ 16-30 กันยายน 2568 อีกจำนวน 2,352 ล้านบาท รวมเป็น 3,108 ล้านบาท

และภายในสัปดาห์นี้ สปสช. จะโอนเงินค่าบริการผู้ป่วยในปี 2568 ที่อยู่ระหว่างการประมวลจ่ายเพิ่มเติมให้หน่วยบริการ จำนวน 2,753 ล้านบาท แบ่งเป็น งบประมาณในส่วนของการปิดวงเงิน Global budget หรืองบประมาณปลายปิดผู้ป่วยในจำนวน 1,560 ล้านบาท งบประมาณในส่วนของการลดผลกระทบ DRGs หรือการจ่ายตามกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม จำนวน 541 ล้านบาท และงบประมาณในส่วนของผลงานบริการของภาครัฐ ตามรายการ Fee schedule หรือการจ่ายตามรายการจำนวน 652 ล้านบาท

โฆษก สปสช. กล่าวต่อว่า นอกจากนั้น ยังมีงบประมาณตาม พ.ร.บ.กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2569 ที่ สปสช. จะโอนให้หน่วยบริการตามมติคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568 อีกจำนวน 2,053 ล้านบาท ภายในสัปดาห์หน้าเช่นกัน โดยเป็นงบในส่วนของค่าบริการกรณีเฉพาะ บริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค และบริการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์

ทั้งนี้ จากโพสต์ของ นพ.วีระพันธ์ ที่ระบุจำนวนค้างจ่ายของแต่ละโรงพยาบาลนั้น สปสช. ขอย้ำว่า ตัวเลขดังกล่าวไม่เป็นความจริง และไม่ทราบว่านำตัวเลขเหล่านั้นมาจากแหล่งใด ในส่วนของการจ่ายเงินให้กับโรงพยาบาลนั้น สปสช. ดำเนินการตามรอบปกติและมีการประมวลผลก่อนจ่าย การจ่ายเป็นไปตามประกาศหลักเกณฑ์ที่กำหนดตามกฎหมายทุกประการ ดังนั้นจึงขอความร่วมมือไม่สร้างความสับสนแก่ประชาชน

ทพ.อรรถพรกล่าวว่าขณะเดียวกันในส่วนของตัวเลข AdjRW. หรือค่าน้ำหนักสัมพันธ์ ที่ระบุว่า ลด AdjRW. จาก 8,350 บาท ลงไปเหลือ 6,643 บาทนั้น ก็ไม่เป็นความจริง ในปีงบประมาณ 2568 สปสช. จ่ายงบบริการผู้ป่วยในให้กับโรงพยาบาลข้อมูล 10 เดือน(ตุลาคม 2567-กรกฎาคม 2568) จ่ายเบื้องต้น 8,350 บาทต่อ AdjRW.แต่เนื่องจากเป็นงบประมาณปลายปิด เมื่อคำนวณผลงานการให้บริการใน 2 เดือนที่เหลือคือ สิงหาคม และกันยายน 2568 พบว่าค่าเฉลี่ยภาพรวมทั้งประเทศประมาณ 7,800 บาทต่อ AdjRWซึ่งตามหลักการทางบัญชีต้องมีการคิดคำนวณย้อนหลัง จึงเป็นเหตุให้ สปสช.ต้องคำนวณและปรับการจ่ายใหม่ อย่างไรก็ตามในแต่ละโรงพยาบาลจะมีค่าน้ำหนัก AdjRW. แตกต่างกันเนื่องจาก ค่า k ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) คำนวณในลักษณะของการปรับเกลี่ยระหว่างโรงพยาบาล ซึ่งเป็นการจัดสรรภายในของ สป.สธ. เอง

ทั้งนี้ในส่วนของงบประมาณค่ารักษาผู้ป่วยในที่ไม่เพียงพอ เนื่องจากการใช้บริการผู้ป่วยในเพิ่มมากกว่าที่คาดการณ์ไว้นั้น ที่ผ่านมามติบอร์ด สปสช. ได้ดำเนินการของบกลางจากรัฐบาลเพิ่มเติมเพื่อให้ได้อัตรา 8,350 บาทต่อ AdjRW. ขณะนี้อยู่ระหว่างการนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top