วันพฤหัสบดี ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2568
คณะสื่อมวลชนจากหนังสือพิมพ์แนวหน้าและแนวหน้าออนไลน์ ได้เดินทางไปศึกษาดูงานที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ในโอกาสที่ศูนย์ฯ จัดนิทรรศการ "ร้อยเรียงเรื่องราว 43 ปี ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้" เพื่อเผยแพร่ผลสำเร็จตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9
ศูนย์ฯ ห้วยฮ่องไคร้ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2525 เพื่อเป็นศูนย์กลางการศึกษา ทดลอง วิจัย และหาแนวทางการพัฒนาพื้นที่ต้นน้ำลำธารที่เหมาะสม ก่อนจะขยายผลให้ประชาชนนำไปปฏิบัติ จนเปรียบเสมือน "พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต" ที่รวมองค์ความรู้ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน
***"ห้วยฮ่องไคร้" คือภูเขาหัวโล้นในอดีต
นายสุชาติ ถ้วนนอก เจ้าพนักงานการเกษตร เจ้าหน้าที่วิทยากร ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ ได้กล่าวบรรยายพิเศษต้อนรับคณะสื่อมวลชน โดยเน้นย้ำถึงความเป็นมาของพื้นที่ และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้น
นายสุชาติเผยว่า พื้นที่ศูนย์ศึกษาฯ เป็นลุ่มน้ำห้วยฮ่องไคร้ประมาณ 8,500 ไร่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภูเขาสลับกับร่องลำห้วย โดยก่อนหน้านี้พื้นที่แห่งนี้เคยเป็น "ภูเขาหัวโล้น" เนื่องจากในอดีตเคยเกิดปัญหาไฟป่า การตัดไม้ เผาป่า และการล่าสัตว์ โดยเฉพาะการที่บริษัทเอกชนเคยขอสัมปทานตัดไม้เนื้อแข็งเพื่อนำไปทำไม้หมอนรถไฟ ทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพหาของป่าและล่าสัตว์ตามวิถีชีวิตดั้งเดิม
**จุดเริ่มต้นจากพระราชดำริ และหลักการ "มีป่าต้องมีน้ำ"
นายสุชาติกล่าวต่อว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเห็นความสำคัญของพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยฮ่องไคร้ ซึ่งเป็นป่าต้นน้ำลำธารสำคัญที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติป่าขุนแม่กวง และทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งเป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาขึ้นตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2525
นายสุชาติได้สรุปหลักการพัฒนาหลักของโครงการฯ ว่าประกอบด้วย 3 ด้าน คือ สิ่งแวดล้อม (ดิน น้ำ ป่า) การพัฒนาพื้นที่ และการพัฒนาบุคลากร
"สิ่งที่สำคัญสิ่งเหล่านี้พระองค์ท่านเล็งเห็นความสำคัญ 'ถ้าเรามีป่า เราก็มีน้ำ' ซึ่งเป็นของคู่กัน เมื่อมีป่า มีน้ำ เราก็สามารถนำน้ำมาพัฒนาพื้นที่ ในเรื่องของการพัฒนาดินให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ สามารถทำการเกษตร เพาะปลูก ทำประมง ทำปศุสัตว์" นายสุชาติกล่าว
**พลิกฟื้นป่าเสื่อมโทรม สู่แหล่งอาหารชุมชน
นายสุชาติระบุถึงความสำเร็จที่เห็นได้ชัดเจนในพื้นที่ 8,500 ไร่ ว่า ปัจจุบันนี้ไม่เกิดไฟป่า และสามารถเห็นต้นไม้ที่เกิดจากลูกไม้ขึ้นมาอย่างหนาแน่น จากป่าเต็งรังที่เสื่อมโทรมกลายเป็นแหล่งอาหารของชุมชน
"ตอนนี้ห้วยฮ่องไคร้มีเห็ดอยู่หลายชนิดและหน่อเมื่อถึงฤดูฝน ส่วนฤดูแล้งก็จะมีผักหลากหลายชนิด เช่น ผักหวานป่า และผักอีกหลายๆ ชนิด ซึ่งเป็นอาหารตามฤดูกาล โดยพื้นที่โครงการฯ จะให้ชาวบ้านเข้ามาเก็บของป่าได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเก็บเห็ดป่า หาหน่อไม้ และเก็บผัก แต่จะห้ามตัดไม้ ห้ามเผาป่า และห้ามล่าสัตว์" นายสุชาติ กล่าว
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ โครงการฯ ยังได้พัฒนา หมู่บ้านรอบศูนย์ โดยส่งเสริมให้ประชาชนรอบพื้นที่ที่เคยมีรายได้ไม่แน่นอนจากการหาของป่า เข้ามาเป็นพนักงานในโครงการฯ เพื่อมีอาชีพที่มั่นคง และน้อมนำองค์ความรู้ตามหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ไปใช้ในครัวเรือน ทำให้พวกเขาไม่ต้องหันกลับไปทำลายป่าอีกต่อไปด้วย“ นายสุชาติกล่าว
เปิดประวัติความเป็นมา “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้W
สำหรับ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ แห่งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดำริ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2525 ให้พิจารณาตั้งขึ้นบริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่าขุนแม่กวง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ขอบเขตพื้นที่ โครงการประมาณ 8,500 ไร่ โดยมีพระราชประสงค์ที่ให้เป็นศูนย์กลางในการศึกษาทดลอง วิจัย เพื่อหารูปแบบการพัฒนาต่างๆ ในบริเวณต้นน้ำเหมาะสมและเผยแพร่ให้ราษฎรนำไปปฏิบัติได้ด้วยตนเอง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี