วันอังคาร ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2568
กต. แถลงพัฒนาการล่าสุดของสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา
23 ธ.ค.68 นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงพัฒนาการล่าสุดของสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา รวมถึงกรณีที่นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน สมัยพิเศษ ว่าด้วยสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2568 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เป็นประธาน ซึ่งการประชุมดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ไทย - กัมพูชา และแลกเปลี่ยนรวมทั้งรับฟังความเห็นจากสมาชิกอาเซียนที่ทุกประเทศต่างสนับสนุนให้เกิดการคลี่คลายและลดระดับความตึงเครียดในสถานการณ์ไทย - กัมพูชา
ซึ่งภายหลังการประชุม กระทรวงการต่างประเทศออกแถลงการณ์ของไทยในเรื่องนี้แล้ว ขณะที่มาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ก็ได้ออกแถลงการณ์ของประธานอาเซียนด้วยเช่นกัน
ไทยขอบคุณมาเลเซียที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรายการสำคัญครั้งนี้ขึ้น ซึ่งไทยก็ได้แสดงความพร้อมที่จะเข้าร่วมมาตั้งแต่ต้น เนื่องจากเห็นว่าอาเซียนจะมีบทบาทที่สร้างสรรค์ในเรื่องนี้ได้บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง และการหารือเรื่องสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคเป็นสิ่งที่ควรทำกันจำกัดในภูมิภาค อันเป็นการแสดงถึงความเป็นแกนกลางของอาเซียน (ASEAN Centrality)
ไทยขอขอบคุณความปรารถนาดีของประเทศเพื่อนสมาชิกอาเซียนที่ร่วมหารือกันอย่างสร้างสรรค์ และประสงค์ให้ไทยและกัมพูชากลับสู่กระบวนการเจรจา เพื่อนำไปสู่การยุติการสู้รบทุกรูปแบบ
การประชุมครั้งนี้ เป็นโอกาสให้ไทยได้แสดงท่าทีที่สำคัญ 3 ประการ โดยประการแรก
ไทยได้ชี้แจงให้ประเทศสมาชิกอาเซียนทราบถึงข้อเท็จจริงของสถานการณ์ฯ โดยได้ท้าวความถึงความปรารถนาดีของไทยและความต้องการที่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับกัมพูชาในฐานะเพื่อนบ้านที่มีความใกล้ชิดตั้งแต่อดีต โดยตั้งแต่กัมพูชามีสงครามกลางเมือง ไทยก็ได้สนับสนุนการฟื้นฟูสันติภาพภายในประเทศ รวมถึงเปิดชายแดนโอบรับผู้อพยพจากสงครามให้มีที่พักพิงในไทย และเมื่อกัมพูชามีสันติภาพแล้ว ไทยก็ยังสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของกัมพูชาผ่านการให้ความช่วยเหลือต่างๆ เพื่อสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล ถนน และระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ไทยจึงไม่เคยมีความปรารถนาใด ๆที่จะมีความขัดแย้งกับกัมพูชา
นายนิกรเดช กล่าวต่อว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาเมื่อช่วงกลางปี 2568 ที่ผ่านมา ไทยพยายามแก้ไขปัญหาในกรอบทวิภาคี แต่กัมพูชาได้พยายามนำประเด็นดังกล่าวไปสู่ระดับระหว่างประเทศ (internationalize) แทนที่จะพยายามแก้ไขปัญหาระหว่างสองฝ่ายร่วมกัน ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว กัมพูชาก็ทราบดีว่า การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนจะต้องมาจากคู่กรณีโดยตรง คือ ไทยและกัมพูชา ขณะที่ก่อนหน้านี้กัมพูชาก็มีความพยายามที่จะบั่นทอนเสถียรภาพของไทยผ่านพฤติกรรมของผู้นำกัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญมาก หากเราจะต้องการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
ไทยจึงได้ย้ำต่อที่ประชุมว่า ที่ผ่านมา ไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงภายใต้กรอบทวิภาคีต่าง ๆมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงหยุดยิง และถ้อยแถลงร่วม หรือ Joint Declaration (JD) ซึ่งไทยได้ย้ำหลายครั้งว่า JD เป็นเส้นทางไปสู่สันติภาพ แต่จะได้ผลหรือไม่ขึ้นอยู่กับการยึดมั่นในการปฏิบัติ และทุกข้อกำหนดใน JD ก็มีความสำคัญเท่าเทียมกัน
ไทยได้ใช้ความอดกลั้นอย่างถึงที่สุด เมื่อพบว่า ฝ่ายกัมพูชาละเมิดพันธกรณีภายใต้ข้อตกลงทวิภาคีต่าง ๆ และกฎหมายระหว่างประเทศในหลายโอกาส ทำให้ไทยไม่อาจเพิกเฉยต่อการละเมิดข้อกำหนดใน JD ในรูปแบบที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นด้วย โดยเฉพาะเรื่องการวางทุ่นระเบิด ซึ่งจนบัดนี้ ไทยยังไม่ได้รับคำตอบหรือเหตุผลใด ๆที่ชัดเจนจากฝ่ายกัมพูชา จนมาถึงเหตุการณ์ล่าสุด เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา ที่ทหารไทยต้องสูญเสียขา เป็นรายที่ 8 จากการลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งในเรื่องนี้ ไทยได้ออกแถลงการณ์ประณามอย่างรุนแรง ต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกัมพูชาไปแล้ว รวมถึงได้มีหนังสือประท้วงไปยังกัมพูชา และมีหนังสือไปถึงประเทศแซมเบียในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) ครั้งที่ 23 เพื่อดำเนินการตามกลไกของอนุสัญญาฯ รวมถึงมีหนังสือไปถึงเลขาธิการสหประชาชาติ (UNSG) เพื่อแจ้งการละเมิดอนุสัญญาฯ ของกัมพูชาด้วย
ในการประชุมครั้งนี้ ฝ่ายไทยแจ้งจุดยืนของไทย โดยเฉพาะเงื่อนไขสำคัญ 3 ประการที่จะนำไปสู่การลดระดับความตึงเครียด ได้แก่
(1) กัมพูชาจะต้องเป็นฝ่ายประกาศหยุดยิงก่อน
(2) การหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชา จะต้องเกิดขึ้นจริง และเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะต้องมีการตรวจสอบโดยฝ่ายทหารตามความเป็นจริงในพื้นที่
(3) ฝ่ายกัมพูชาจะต้องร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิดกับฝ่ายไทยอย่างจริงจัง ที่ผ่านมา กัมพูชาพูดถึงเรื่องหยุดยิงกับทุกฝ่าย ยกเว้นกับฝ่ายไทย ซึ่งสะท้อนถึงอะไรบางอย่างว่า กัมพูชาจริงจังและจริงใจที่จะหยุดยิงหรือไม่
แต่จากการประชุมเมื่อวาน สิ่งที่เห็นชอบร่วมกันตามข้อเสนอของไทย คือ การหยุดยิงจะต้องมาจากการหารือร่วมกัน ดังนั้น ทหารของทั้งสองฝ่าย จึงจะหารือเพื่อกำหนดแนวทางที่จะนำไปสู่การกลับมาหยุดยิง และการยุติการเป็นปรปักษ์ โดยเห็นพ้องให้มีการจัดการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ในวันที่ 24 ธันวาคม ซึ่งไทยเสนอให้จัดในจังหวัดชายแดนฝั่งไทย เพื่อหารือเกี่ยวกับการดำเนินการ ขั้นตอน และการตรวจสอบการหยุดยิงโดยคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team: AOT) ในรายละเอียด ซึ่งขณะนี้ อยู่ในช่วงของการประสานงานของฝ่ายทหารทั้งสองฝ่าย
พัฒนาการสำคัญนี้สอดคล้องกับท่าทีของฝ่ายไทยที่ย้ำเสมอว่า การหยุดยิงไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการประกาศฝ่ายเดียว จะต้องเกิดจากเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ของทั้งสองฝ่าย จะต้องมาจากการประเมินสถานการณ์ในพื้นที่ของฝ่ายความมั่นคง หรือทหาร และจะต้องมีการหารือในรายละเอียด เพื่อให้การหยุดยิงสะท้อนความเป็นจริงในพื้นที่และมีความยั่งยืน
นายนิกรเดช กล่าวด้วยว่า สุดท้ายนี้ ขอให้พี่น้องประชนมั่นใจว่าประเทศไทยจะหารือกับกัมพูชาบนพื้นฐานของผลประโยชน์ อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย รวมถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนไทย
ประเทศไทยยังคงปรารถนาสันติภาพ แต่สันติภาพที่ยั่งยืนจะต้องมาพร้อมกับความมั่นคงและความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนไทย ซึ่งฝ่ายไทยหวังที่จะเห็นความจริงใจของกัมพูชาที่สะท้อนผ่านการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เพื่อสันติภาพที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงสันติภาพที่อยู่บนกระดาษเท่านั้น แต่จะต้องมาจากการกระทำ
ผู้สื่อข่าวถามว่า การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษเมื่อวานนี้ แต่ละประเทศมีการแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นไทย-กัมพูชา อย่างไรบ้าง ที่สำคัญและน่าสนใจ โดยเฉพาะที่มาจากประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเตรียมจะรับตำแหน่งประธานอาเซียนหมุนเวียน ภายใน สัปดาห์ที่จะถึงนี้
นายนิกรเดช กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่ประเทศสมาชิกอาเซียน 11 ประเทศ รวมไทยด้วย ได้พูดตรงกันและเห็นตรงกัน คือ ทุกคนเข้าใจหมดว่าเรื่องของการมีสันติภาพจะต้องเริ่มจากการหารือกันโดยฝ่ายความมั่นคง จะมาพูดกันถึงกระดาษแผ่นหนึ่ง แล้วบอกว่าสองฝ่ายจะถอยห่างจากกัน ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าใช้ไม่ได้ ดังนั้น ทุกคน ทุกประเทศ จะพูดตรงกันว่า เห็นชอบ เห็นพ้อง ที่จะต้องมีกลไกลบางอย่าง ก็ตามที่ไทยเสนอ คือ เริ่มจากการให้ฝ่ายความมั่นคง เขาเห็นพ้องกันก่อนว่ามาตรการที่ควรจะเป็นคืออะไร ฝ่ายไทยได้พูดเรื่องคราวที่แล้ว เราคิดว่าทำไมความตกลงไม่ยั่งยืน อาจจะเป็นเพราะเราต้องถูกเร่งให้บรรลุความตกลงอะไรบางอย่าง เพื่อให้มันมีผลสำเร็จออกมา ครั้งนี้เราก็จะไม่ทำเช่นนั้นอีก เราจะใช้เวลาตามที่จำเป็น เพื่อให้มั่นใจ อีกสิ่งหนึ่งที่ทุกประเทศเห็นพ้องก็คือเข้าใจท่าทีของไทย ว่าไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ไทยต้องการความขัดแย้ง มองไปในประวัติศาสตร์ มองไปในอดีต มาถึงปัจจุบัน และมองไปในอนาคต ไม่มีเหตุผลใดๆที่จะคิดว่าไทยต้องการความขัดแย้ง ซึ่งทุกคนเห็นข้อนั้น ดังนั้นทุกคนก็เปิดรับข้อเสนอของไทย ที่เราวางขั้นตอนเอาไว้ 3 ขั้นตอน และทุกคนจะสังเกตุในแชร์สเตทเม้นท์ของมาเลเซียที่มีการพูดถึงการเก็บกู้ทุนระเบิดแล้ว ก็คือทุกคนรู้ว่า ประเด็นที่เราจะต้องเข้าไปแก้ไข ประเด็นต้นปัญหาก็คือส่วนหนึ่งคือเรื่องการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล เรื่องนี้ประเทศอาเซียนให้การสนับสนุนทั้งสิ้น ส่วนที่ถามเรื่องฟิลิปปินส์ ซึ่งทางฟิลิปปินส์ไม่ได้พูดอะไรเยอะ พูดเพียงสั้นๆว่า ในฐานะประธานอาเชี่ยนคนใหม่ เขาพร้อมที่จะทำหน้าที่ เป็นผู้ไกล่เกลี่ยให้ หากได้รับการร้องขอ และก็พร้อมจะร่วมมือกับทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นเรื่องการมามีส่วนร่วมในการเป็น คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team: AOT) และอื่นๆ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี