ครม.เอาใจทหาร-ตร.
ขึ้นเงินเดือนนายพล
เด็กแรกเกิดปรับด้วย
รับ600บ./เดือนถึง3ปี
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบตามหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้กับข้าราชการทหาร ตำรวจและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือน เนื่องจากที่ผ่านมามีการปรับเงินเดือนของข้าราชการพลเรือน ตามการเปรียบเทียบลำดับขั้นให้อยู่ในระดับเดียวกัน เช่น หากอัตราข้าราชการทหารในระดับ พันเอกพิเศษจะเทียบเท่าชั้นอำนวยการสูงของภาคพลเรือน เป็นต้น ทำให้ฐานเงินเดือนเท่ากัน แต่จากการปรับอัตราเงินเดือนของภาคพลเรือนครั้งก่อนทำให้ฐานเงินเดือนสูงสุดของฝ่ายพลเรือนมีอัตราที่สูงกว่าภาคข้าราชการทหารตำรวจ จึงมีการเสนอให้ลดความเหลื่อมล้ำลง โดยเพิ่มอัตราละ 400-1,300 บาท
สำหรับการปรับเพดานอัตราเงินเดือน เป็นดังนี้ ระดับ พลโท พลเรือโท พลอากาศโท จากเงินเดือน 74,320 บาท เป็น 75,560 ถึง 76,800 บาท ระดับ พลตรีพลเรือตรี พลอากาศตรี จากเงินดือน 69,040 บาท เป็น 70,360 ถึง 74,320 บาท ระดับพันเอก นาวาเอก นาวาอากาศเอกจากเงินเดือน 58,390 เป็น 59,500 บาท ระดับ จ่าสิบตรี พันจ่าตรี พันจ่าอากาศตรี ถึงจ่าสิบเอก พันจ่าเอก พันจ่าอากาศเอก จากเงินเดือน 29,690 บาท เป็น 30,220 ถึง 38,750 บาท และระดับสิบตรี จ่าตรีจ่าอากาศตรี ถึงสิบเอก จ่าเอก จ่าอากาศเอก จากเงินเดือน 21,480 บาท เป็น 21,880 บาทถึง 38,750 บาท ส่วนข้าราชการตำรวจ ระดับพลตำรวจโท จาก 74,320 บาท เป็น 75,560 บาทถึง 76,800 บาท ระดับพลตำรวจตรีจากเงินเดือน 69,040 บาท เป็น70,360 ถึง 74,320 บาท ระดับ พันตำรวจเอก(พิเศษ) จากเงินเดือน 69,040 บาท เป็น 70,360 บาท ระดับพันตำรวจเอกจาก 58,390 บาทเป็น 59,500 บาท
พล.ต.สรรเสริญ แถลงด้วยว่า ครม.ยังเห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอให้ขยายระยะเวลาการจ่ายเงินอุดหนุนในโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จากเดิมที่กำหนดให้จ่ายเงินตั้งแต่เด็กแรกเกิด จนอายุครบ 1 ปี ที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2558 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2559 หัวละ400 บาทต่อเดือน ขยายเป็นตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 3 ปี พร้อมทั้งเพิ่มวงเงินเป็น 600 บาท ต่อเดือน อย่างไรก็ตามโครงการช่วงแรก ใช้งบประมาณ 864 ล้านบาทขณะที่ เด็กที่เกิดในปี 2560 ตามที่ขยายโครงการนั้น ใช้งบประมาณ 468 ล้านบาท
ทางด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า การออกคำสั่ง ที่ 10/2559 เรื่องการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค และ คําสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 11/2559 เรื่องการบริหารราชการของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาคนั้น เป็นการปรับโครงสร้างให้เกิดการบูรณาการ เนื่องจากที่ผ่านมาอำนาจค่อนข้างกระจัดกระจาย จนไม่มีอำนาจในการปฏิรูป
“คำสั่งที่ออกไปไม่ใช่ไปออก เพื่อจะให้การศึกษามันดีขึ้น แต่มอบหมายให้รัฐมนตรีมีเอกภาพในการทำงาน จากการตรวจสอบพบว่า ครู 4-5 แสนคน พอใจกับคำสั่ง จะมีเพียงที่มีปัญหาอยู่บ้าง 2 พันกว่าคน ที่เป็นผู้บริหารและยังติดอยู่กับกติกาเดิม ซึ่งพวกนี้น่าเป็นห่วง ถ้ายังไม่แก้ไข จะมีปัญหาในการทำงาน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตสส. พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาวิจารณ์ว่า ต้องพิจารณาว่า คำสั่งคสช. จะนำไปสู่การปฏิรูปเชิงคุณภาพของการศึกษาชาติได้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ปฏิรูปโครงสร้างทางอำนาจของผู้บริหารเท่านั้น โจทย์ใหญ่ทางคุณภาพการศึกษาคือ ต้องนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่โรงเรียนนั่นคือ ผอ.โรงเรียน ครู ผู้ปกครอง หลักสูตรงบประมาณ การบริหาร เพื่อให้เด็กไทยสัมฤทธิ์ผลคุณภาพ 7 ด้านคือ-เป็นคนเก่ง เป็นคนดี มีวินัย มีเหตุมีผล มีความสามารถสื่อสารได้สองภาษา มีทักษะ และการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับวัย
“ถ้าพิจารณาคำสั่ง คสช.ทั้งสองฉบับ จะพบว่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ให้รวมศูนย์การบริหารงานที่แตกกระจายมาอยู่ที่แห่งเดียวภายในจังหวัด ดังนั้น ถ้ารัฐบาลและ คสช.สามารถดำเนินการต่อ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายคุณภาพการศึกษาได้ ก็ถือว่าคุ้มค่ามากกับภารกิจเพื่อปฏิรูปการศึกษา แต่ถ้าไม่ทำอะไรต่อ ก็จะเป็นเพียงการจัดสรรอำนาจของผู้บริหารเท่านั้น และในระยะยาวปัญหาเดิมๆ ก็จะวนกลับมาอีก”นพ.วรงค์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี