26 มี.ค. 59 เมื่อเวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 4 สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสถาบันมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันสร้างอนาคตไทย และเว็บไซต์ประชามติ จัดเวทีสาธารณะ “ถกแถลงปัญหาประชามติ” ผู้เข้าร่วมประกอบด้วย นายสมบัติ ธำรงค์ธัญวงศ์ อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา แกนนำพรรคเพื่อไทย นายนิกร จำนง ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ นายโคทม อารียา ที่ปรึกษาสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัย มหิดล นายอรรถสิทธิ์ พานแก้ว อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นางนฤมล ทับจุมพล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายอนุสรณ์ ธรรมใจ รองประธานมูลินิธิปรีดีพนมยงค์
โดย นายเอกพันธุ์ ปิณฑวนิช รักษาการผู้อำนวยการสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การทำประชามติควรเป็นการกระทำที่อยู่ภายใต้พื้นฐานที่ประชาชนมีเสรีภาพในการตัดสินใจ และมีความรู้ความเข้าใจก่อนไปทำประชามติอย่างจริงจัง เหมือนก่อนการทำประชามติรัฐธรรมนูญ 2550 ที่รัฐดำเนินการให้มีกระบวนการสร้างความเข้ารู้ ความเข้าใจ ต่อตัวร่างรัฐธรรมนูญก่อนที่ประชาชนจะออกเสียงประชามติ
ด้าน นายโคทม กล่าวว่า คณะทำงานห่วงใยการบังคับใช้ พ.ร.บ.ประชามติ ที่หลายมาตรายังมีข้อสังสัย อาทิ มาตรา 10 ที่ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดให้มีการแสดงความคิดเห็นโดยอิสระและเท่าเทียม ให้สถานีวิทยุกระจายเสียงและสถานีโทรทัศน์ของรัฐ จัดสรรเวลาออกอากาศตามที่กกต.กำหนด แต่ไม่ได้จำกัดสิทธิผู้อื่นในการจัดให้มีการแสดงความเห็นใช่หรือไม่ รวมถึงมาตรา 62 ที่บัญญัติการกระทำที่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย เพื่อให้การออกเสียงไม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายกว้างขวางอันตราย จึงควรกำหนดให้ชัดเจนว่าการกระทำลักษณะใดบ้าง เป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย ส่วนประเด็นการตั้งคำถามของสนช.ที่เกี่ยวกับบุคคล หรือขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญชั่วคราว เห็นว่าสนช.ไม่ควรกระทำ เพราะหลักการทั่วไปของการทำประชามติไม่ควรตั้งคำถามลักษณะดังกล่าว ที่สำคัญต้องมีความชัดเจนว่าถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติจะมีกระบวนการอย่างไรต่อไป
นายนิกร กล่าวว่า ในพ.ร.บ.ประชามติ มีประเด็นสุ่มเสี่ยงว่าจะเกิดปัญหาทำให้คนไม่กล้าจัดเวทีแสดงความเห็นหรือรณรงค์ให้ความรู้ในร่างรัฐธรรมนูญ จึงต้องเขียนให้ชัดว่าใครบ้างที่ดำเนินการได้ และควรประกาศให้ชัดเจนว่าหากทำแล้วจะไม่ขัดคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ถ้าทำประชามติไม่ดีก็เท่ากับระเบิดดีๆ ระเบิดจะระเบิดได้ถ้ามีการปิดกั้น แต่ถ้าอยู่ในที่แจ้งไม่ปิดกั้นอาจจะแค่เกิดความร้อนแต่ไม่ถึงขั้นระเบิด
ขณะที่ นายองอาจ กล่าวว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ควรทบทวนประกาศเรื่องการห้ามจัดกิจกรรมทางการเมือง เพราะการออกเสียงประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเรื่องทางการเมือง ถ้ายังมีประกาศห้ามไม่ว่าใครจัดให้มีการแสดงความเห็นหรือให้ความรู้เรื่องรัฐธรรมนูญ จะสุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิดตามประกาศคสช.หรือไม่ และในกฎหมายประชามติส่วนใดที่คลุมเครือไม่ชัดเจน ตนอยากเรียกร้องให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หรือแม้แต่กฤษฎีกา ออกมาบอกให้ชัดเจนว่าข้อความที่คลุมเครือมีเจตนาอย่างไรจึงได้บัญญัติไว้ในกฎหมายประชามติ และอยากให้คสช.ระบุให้ชัดเจนว่าหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน จะมีกระบวนการอย่างไรให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 อีกทั้งการออกเสียงอยู่ในบรรยากาศที่มีคสช.กุมอำนาจรัฐอยู่ ดังนั้น คสช.ต้องแสดงความชัดเจนว่าจะไม่ใช้กลไกอำนาจรัฐไปดำเนินการใดๆก็ตาม โดยเฉพาะกลไกที่เกี่ยวกับคนในเครื่องแบบเข้าไปดำเนินการให้รับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เพราะจะก่อให้เกิดปัญหาเรื่องการยอมรับในรัฐธรรมนูญมากขึ้น จะทำให้กระบวนการเดินหน้าประเทศสู่สภาวะปกติยากลำบาก ทุกอย่างเริ่มต้นที่การทำประชามติ จึงควรเริ่มผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่างๆสร้างบรรยากาศความพร้อมสู่การเลือกตั้งต่อไป
ด้าน นายสมบัติ กล่าวว่า โดยปกติการลงประชามติเป็นหลักการของระบอบประชาธิปไตยโดยตรง มักเกี่ยวข้องกับประเด็นเดี่ยวๆที่ชัดเจน ประชาชนเข้าใจง่ายในการจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย และจะได้ผลดีมากในสังคมที่ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจรัฐธรรมนูญมาก จึงควรสร้างบรรยากาศให้มีสิทธิ เสรีภาพ ในการแสดงความเห็นอย่างเปิดกว้าง ถ้ามีข้อจำกัดเยอะประชามติจะเป็นเพียงพิธีกรรมมากกว่าการให้ประชาชนตัดสินใจจริงๆ เพราะตนไม่แน่ใจว่าภายใต้สภาพความเป็นจริงประชาชนเข้าใจร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มากน้อยแค่ไหน ที่สำคัญการแสดงความเห็นที่แตกต่างกันต้องไม่ทำให้เกิดปฏิปักษ์ที่นำไปสู่ความรุนแรง
นายพงษ์เทพ กล่าวว่า สถาบันการศึกษาทั้งหลาย ต้องทำเหมือนสมัยยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่มีการจัดเวทีแสดงความเห็นกันกว้างขวาง ซึ่งจะทำให้ได้ประชามติที่แท้จริงไม่ใช่พิธีกรรม รวมทั้งการเผยแพร่ข้อมูลร่างรัฐธรรมนูญ ต้องไม่มีลักษณะเป็นการชี้นำว่าผู้มีสิทธิออกเสียงจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ซึ่งร่างที่อยู่ในสนช.ไม่มีประเด็นดังกล่าว อีกทั้งมาตรา 62 ยังเป็นมาตราที่มีปัญหามากจะทำให้ตีความกันวุ่นวาย ดีที่สุดคือการปล่อยให้พูดเต็มที่ประชาชนจะพิจารณาเองว่าเหตุผลใครดีกว่ากัน จึงควรตัดมาตราดังกล่าวออก และควรกำหนดว่าถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านจะใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 40 – 50 จะเป็นหลักที่ถือว่ายุติธรรมที่สุด ถ้าไม่กำหนดจะทำให้ประชาชนไม่สบายใจว่าถ้าลงประชามติแล้วผลออกมาจะเกิดอะไรขึ้น และถ้าให้ใช้รัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่งควรใช้ชั่วคราวเท่านั้น ระหว่างใช้ก็ยกร่างฉบับถาวรโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด เชื่อว่าจะทำให้เกิดทางเลือกที่เป็นธรรมต่อประชาชน และได้รัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชนในอนาคตด้วย
พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ถ้ายังไม่ทำให้ประชาชนเข้าใจเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญจะเข้าสู่วัฏจักรเดิมๆ เป็นไปได้อยากให้ประชาชนเข้าใจแล้วค่อยมาเลือก ฝ่ายการเมืองทุกฝ่ายต้องเข้าใจรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน ไม่เช่นนั้นจะเกิดวิกฤตแตกแยกทางความคิด เพราะคสช.ยังไม่ได้ทำให้คนไทยที่แบ่งฝ่ายรวมเป็นฝ่ายเดียวกัน
ด้าน นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ไม่ควรลงประชามติเฉพาะร่างรัฐธรรมนูญ เพราะประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมมากเท่าที่ควร หลายประเด็นจะนำไปสู่ความขัดแย้ง จึงต้องทำให้ประชามติเป็นกลไก และระบบที่แก้ปัญหาของประเทศ และต้องมองให้ไกลกว่านั้นว่าประเทศไทยอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน การลงประชามติจึงต้องมีประสิทธิภาพ ประเทศจะได้ผ่านระยะเปลี่ยนผ่านด้วยความเรียบร้อย จึงเสนอว่าให้ลงประชามติในเนื้อหารัฐธรรมนูญ ถ้าเนื้อหาไหนมีความความขัดแย้งสูงให้ลงประชามตินั้นเป็นเรื่องๆไป เช่น ที่มานายกรัฐมนตรี และที่มาสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)
นายอรรถสิทธิ์ กล่าวว่า คงไม่มีใครอ่านรัฐธรรมนูญทั้งหมด แต่ไม่ได้หมายความว่าคนจะไม่มีความรู้ในพื้นฐานทางการเมือง แต่เป็นการตัดสินใจทางการเมืองที่มีความเข้าใจในระดับหนึ่งโดยมีอคติอยู่บ้าง ดังนั้น การให้ข้อมูลจะทำให้คนก้าวข้ามอคติได้ ส่วนมาตรา 62 ทำให้เกิดการตีความที่กว้างขวาง สิ่งที่ต้องคิดคือหากต้องการให้แสดงความเห็นอย่างเสรีแต่ไม่เป็นการแสดงความเห็นที่โจมตีกันจะต้องทำแบบไหน
ด้าน นางนฤมล กล่าวว่า การลงประชามติคือการอธิบายว่าเป็นการยึดโยงกับประชาชน เพราะคนที่เข้ามานั้น มาโดยพลการ ไม่ได้มาจากการเลือกของประชาชน ดังนั้น การปิดกั้น บังคับข่มขู่ จึงไม่ใช่เจตจำนงโดยเสรี จึงต้องระวังการบอกว่าให้ลงประชามติ แต่ไม่ได้สนใจเจตจำนงเสรีของประชาชน ไม่อนุญาตให้คนเห็นโต้แย้งได้เห็นเท่ากับไม่มีเสรีภาพ ถ้าไม่มีเสรีภาพประชามติจะไม่มีคุณภาพ ส่วนจะลงมติทั้งฉบับหรือรายประเด็น ตนคิดว่าทำได้ทั้ง 2 แบบ แต่โดยหลักการแล้วการลงประชามติต้องฟรี และ แฟร์ คือต้องมีอิสระเสรี และ เป็นธรรม ซึ่งอาจจะมีทางเลือกในการตั้งคำถามสำหรับคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญบางประเด็น อาจถามไปว่ากำหนดให้แก้รัฐธรรมนูญหลังจากผ่านรัฐธรรมนูญภายในกี่ปี อย่างนี้ก็จะเป็นทางเลือกหนึ่งให้กับประชาชนได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี