คดีนี้ศาลอาญาถนนรัชดาภิเษก อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา เมื่อวันที่ 6 กันยายนเวลา 10.00 น. ในคดีหมายเลขดำอ.1036/2552 โดยศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำคุกนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ และอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) พร้อมกับ 2 ลูกน้องสาว คนละ 20 ปีฐานกระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ทำสำเนาประชุมเท็จค้ำประกันเงินกู้ ธนาคารกรุงไทย
ทั้งนี้นี้พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสนธิ , นายสุรเดช มุขยางกูร อดีตกรรมการบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ,น.ส. เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ อดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟู บมจ. แมเนเจอร์ฯ และ น.ส. ยุพิน จันทนา อดีตกรรมการ บมจ. แมเนเจอร์ฯ เป็นจำเลยที่ 1-4
โดยบรรยายความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 29 เม.ย.39 - 31 มี.ค.40 จำเลยทั้งสี่ เป็นกรรมการ บมจ. แมเนเจอร์ ฯ ได้ร่วมทำสำเนา รายงานการประชุมของกรรมการบริษัท ที่เป็นเท็จว่ามีมติให้ บริษัทเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้กับบริษัท เดอะ เอ็ม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งนายสนธิ จำเลยที่ 1 ถือหุ้นอยู่ รวม 6 ครั้ง จำนวน 1,078 ล้านบาท โดยนายสนธิ จำเลยที่ 1 และ น.ส. เสาวลักษณ์ จำเลยที่ 3 ไม่ได้ขออนุมัติจากมติที่ประชุมกรรมการบริษัท
ต่อมาช่วงวันที่ 30 เม.ย.39 – 18 พ.ย.41 จำเลยทั้งสี่ ยังร่วมกันยอมให้มีการเปลี่ยนแปลง ตัดทอนทำบัญชีไม่ตรงกับความเป็นจริง และจำเลยทั้งสี่ ไม่ได้นำภาระการค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าว ที่เป็นรายการที่ทำให้รายได้ของ บมจ.แมเนเจอร์ฯ เปลี่ยนแปลงผิดปกติ ซึ่งต้องแสดงรายการไว้ในงบการเงินประจำปี 2539-2541 และจะต้องนำส่งให้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) เพื่อลวงให้ผู้ถือหุ้น บมจ.แมเนเจอร์ฯ ขาดประโยชน์ที่ควรจะได้รับ รวมทั้งเป็นการลวงให้นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ได้รับรู้ถึงการค้ำประกันหนี้ดังกล่าว เหตุเกิดที่แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา และแขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กทม. เกี่ยวพันกัน จำเลยทั้งสี่ ให้การรับสารภาพ
ซึ่งศาลอาญา มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ก.พ.55 ว่า นายสนธิ จำเลยที่ 1 และ น.ส. เสาวลักษณ์ จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานร่วมกันกระทำผิดต่อหน้าที่โดยทุจริตเป็นเหตุให้บริษัทเสียหาย โดยร่วมกันกระทำการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้ , ร่วมกันไม่ลงข้อความสำคัญในบัญชีหรือเอกสารของบริษัท และร่วมกันทำบัญชีไม่ครบถ้วนไม่เป็นปัจจุบัน ไม่ตรงความเป็นจริงเพื่อลวงให้บริษัท และผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์ ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ฯ มาตรา 307,311,312,313 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 และ 3 รวม 17 กระทงๆ ละ 5 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 และ 3 ทั้งสิ้นคนละ 85 ปี
ส่วนนายสุรเดช จำเลยที่ 2 จำคุก 5 ปี ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ฯ มาตรา 313 และจำคุก น.ส. ยุพิน จำเลยที่ 4 รวม 13 กระทงๆ ละ 5 ปี ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ฯ มาตรา 307,311,312,313 รวมจำคุกจำเลยที่ 4 ทั้งสิ้น 65 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง จำคุกจำเลยที่ 1 และ 3 คนละ 42 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 2 จำคุก 2 ปี 6 เดือน ส่วนจำเลยที่ 4 จำคุก 32 ปี 6 เดือน แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงผิดแล้ว ให้จำคุกจำเลยที่ 1,3 และ4 สูงสุดตามกฎหมายมาตรา 91(2) คนละ 20 ปี
ต่อมานายสนธิ , น.ส.เสาวลักษณ์ และ น.ส. ยุพิน จำเลยที่ 1, 3 และ 4 ยื่นอุทธรณ์ว่าไม่มีเจตนากระทำผิด และไม่ได้รับผลประโยชน์ในทรัพย์สินแต่อย่างใด ขอให้ศาลอุทธรณ์ลงโทษสถานเบา และรอการลงโทษด้วย ส่วนนาย สุรดช จำเลยที่ 2 ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์คดี ถือที่สุดรับโทษจำคุก 2 ปี 6 เดือน กระทั่งเมื่อวันที่ 7 ส.ค.57 ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษายืน ตามศาลชั้นต้น เ
จำเลยทั้งสาม ยื่นฎีกา ขอให้ลงโทษสถานเบา และรอการลงโทษ เนื่องจากคดีเป็นความผิดกรรมเดียว
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันโดยละเอียดแล้วเห็นว่า อัยการโจทก์มี รองผอ.ฝ่ายธุรกิจ ธนาคารกรุงไทยฯ และพนักงานเบิกความประกอบรับสารภาพจำเลย ถึงการนำสำเนาประชุมกรรมการบริษัทที่มีการลงข้อความไม่ถูกต้องมาแสดง เพื่อค้ำประกันเงินกู้ 1,078 ล้านบาท นอกจากนี้มีกรรมการที่ไม่ได้ร่วมประชุม แต่พบว่ามีรายชื่อในรายงานการประชุมมาเบิกความยืนยันด้วย จึงฟังได้ว่าการค้ำประกันเงินกู้ ไม่ได้รับความยินยอมจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทตามขั้นตอน
การกระทำของจำเลยจึงเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อบริษัทแมเนเจอร์ฯ ไม่สามารถชำระหนี้คืนได้ จนต้องเข้าแผนฟื้นฟูกิจการหนี้ ถือเป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ตามมาตรา 307 ,311 ส่วนที่จำเลย อ้างว่า เป็นการกระทำผิดกรรมเดียวในมาตรา 312 นั้น เห็นว่า การยื่นสำเนารายงานประชุมเท็จเพื่อค้ำประกันเงินกู้ พวก จำเลยได้ดำเนินการถึง 6 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งมีจำนวนเงินไม่เท่ากันและไม่ใช่โครงการเดียวกัน ช่วงระยะเวลานั้นก็ต่างกัน
ที่จำเลยฎีกาขอให้ศาลลงโทษสถานเบา และรอการลงโทษนั้นเห็นว่า บริษัทแมเนเจอร์ฯ เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีประชาชนซื้อหุ้นการดำเนินการต้องยึดหลักธรรมาภิบาลโปร่งใสตรวจสอบได้ แต่หากผู้บริหารไม่ประพฤติตามก็จะกระทบต่อบริษัท และระบบเศรษฐกิจในวงกว้าง คดีนี้การกระทำของพวกจำเลยเป็นสาเหตุให้บริษัทแมเนเจอร์ฯเข้าโครงการฟื้นฟูกิจการ ซึ่งบริษัทก็มีประชาชนเข้าร่วมลงทุนเป็นจำนวนมาก การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดร้ายแรง ที่จำเลยอ้างคุณงามความดีมานั้นยังไม่เพียงพอให้รอการลงโทษ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
ด้านน.ส.อัจฉรา แสงขาว หนึ่งในทีมทนายความของนายสนธิ เปิดเผยว่า ปกติแล้วนายสนธิเป็นคนที่มีกำลังใจดี การอยู่ในเรือนจำจึงไม่น่าจะมีปัญหา อย่างไรก็ตามการดำเนินการหลังจากนี้คงต้องรอให้การคุมขังครบกำหนด ที่ต้องรับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ตามคำพิพากษาของศาล จึงจะดำเนินการยื่นเรื่องขอพักการลงโทษตามหลักเกณฑ์ระเบียบของกรมราชทัณฑ์ต่อไป คงใช้เวลาอีกนานสักระยะหนึ่ง ส่วนเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษเป็นรายบุคคลนั้นต้องขึ้นอยู่กับความประสงค์ของนายสนธิอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังคำฟังคำพิพากษา นายสนธิ ได้โอบกอดให้กำลังใจจำเลยร่วม ก่อนที่นายสนธิจะออกมาโทรศัพท์แจ้งข่าวผู้ใกล้ชิด จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้ควบคุมตัวทั้งสามมายังห้องควบคุมตัวใต้ถุนศาล เพื่อส่งตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง โดย น.ส.เสาวลักษณ์ ได้ร้องไห้ ขณะขึ้นรถเรือนจำด้วย
สำหรับการอ่านคำพิพากษาในวันนี้ มีนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล บุตรชายของนายสนธิ ,นายพิภพ ธงไชย , นายปานเทพ พัวพงษ์พัน , นายปราโมทย์ นาครทรรพ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และนายตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์ บก. นสพ.เอเอสทีวีผู้จัดการ ได้เดินทางมาให้กำลังใจนายสนธิด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี