19 มี.ค.62 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. …. (ยกเว้นค่าธรรมเนียมในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 10 เมษายน 2562 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 18 เมษายน 2562)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. …. (ยกเว้นค่าธรรมเนียมในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 10 เมษายน 2562 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 18 เมษายน 2562) ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ คค. เสนอว่า เนื่องจากในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของปี 2562 มีวันหยุดต่อเนื่องหลายวัน คาดว่าจะมีประชาชนจำนวนมากเดินทางกลับภูมิลำเนา เป็นผลให้การจราจรติดขัดในทุกสายทางที่ออกและเข้ากรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งการยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเดินทางได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้การจราจรมีความคล่องตัว รวมทั้งเป็นการลดการใช้พลังงานของประเทศ และโดยที่การกำหนดช่วงระยะเวลาให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตามกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์และปีใหม่เป็นประจำทุกปี พ.ศ. 2550 (ตั้งแต่เวลา 16.00 นาฬิกา ของวันที่ 10 เมษายน ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 16 เมษายน) ยังไม่เหมาะสมกับช่วงระยะเวลาการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของปี 2562 ดังนั้น สมควรกำหนดระยะเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษทั้งสองสายดังกล่าวเสียใหม่ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของปี 2562 ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 10 เมษายน 2562 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 18 เมษายน 2562
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (สายกรุงเทพมหานคร – บ้านฉาง ตอนกรุงเทพมหานคร – เมืองพัทยา รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 34 (บางวัว) ทางแยกเข้าชลบุรี ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง และทางแยกเข้าพัทยา และบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอก กรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาพิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2562 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2562
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตนำสุราเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการอนุญาตนำสุราเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงฯ ตามที่ กค. เสนอ เป็นการแก้ไขปรับปรุงกฎกระทรวงการอนุญาตนำสุราเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2560 เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การตรวจวิเคราะห์คุณภาพสุราที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักร จากเดิมที่กำหนดให้สุราที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรต้องมีคุณสมบัติเป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เป็นต้องมีคุณสมบัติเป็นไปตามมาตรฐานที่อธิบดีประกาศกำหนด เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการกำหนดมาตรฐานสุรา อันจะเป็นการอำนวยความสะดวก ทำให้เกิดความคล่องตัวในทางปฏิบัติในการนำสุราเข้ามาในราชอาณาจักร และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดเก็บภาษีสุราที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยไม่มีผลกระทบต่อรายได้ ภาษีสรรพสามิตแต่อย่างใด
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้สุรานำเข้าต้องมีมาตรฐานตามที่อธิบดีประกาศกำหนด จากเดิมที่กำหนดให้สุรานำเข้าต้องมีคุณสมบัติเป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
กฎกระทรวงฯ ฉบับปัจจุบัน |
ร่างกฎกระทรวงฯ ที่ กค. เสนอ |
- ข้อ 5 (2) ส่งตัวอย่างสุราที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักรต่ออธิบดีเพื่อตรวจวิเคราะห์คุณภาพก่อนยื่นคำขอใบอนุญาต หรือส่งหนังสือรับรองผลการวิเคราะห์ตัวอย่างสุราดังกล่าวว่ามีคุณสมบัติเป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ทั้งนี้ หนังสือรับรองต้องออกโดยหน่วยงานที่อธิบดีกำหนดให้เป็นหน่วยงานตรวจวิเคราะห์คุณภาพสุรา หรือหน่วยงานของรัฐบาลต่างประเทศ หรือหน่วยงานที่รัฐบาลต่างประเทศรับรองให้มีหน้าที่ควบคุมการผลิตสุราของผู้ผลิตสุราในต่างประเทศ |
- ข้อ 5 (2) ส่งตัวอย่างสุราที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักร ต่ออธิบดีเพื่อตรวจวิเคราะห์คุณภาพก่อนยื่นคำขอใบอนุญาต หรือส่งหนังสือรับรองผลการวิเคราะห์ตัวอย่างสุราดังกล่าวว่ามีคุณสมบัติเป็นไปตามมาตรฐานที่อธิบดีประกาศกำหนด ทั้งนี้ หนังสือรับรองต้องออกโดยหน่วยงานที่อธิบดีกำหนดให้เป็นหน่วยงานตรวจวิเคราะห์คุณภาพสุรา หรือหน่วยงานของรัฐบาลต่างประเทศ หรือหน่วยงานที่รัฐบาลต่างประเทศรับรองให้มีหน้าที่ควบคุมการผลิตสุราของผู้ผลิตสุราในต่างประเทศ |
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (ด่านพรมแดนบ้านเขาดินของด่านศุลกากรอรัญประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (ด่านพรมแดนบ้านเขาดินของด่านศุลกากรอรัญประเทศ) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ กค. เสนอว่า โดยที่กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้กรมศุลกากรทราบว่าได้มีประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านเขาดิน อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว ลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2561 เพื่อสำหรับให้บุคคลและพาหนะที่เกี่ยวข้องผ่านเข้า – ออก เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา อำนวยความสะดวกในการคมนาคมขนส่ง และเป็นการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยว ประกอบกับการกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดนต้องกำหนดโดยกฎกระทรวง ซึ่งเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 5 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ดังนั้น จึงเห็นสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนด ด่านศุลกากรและด่านพรมแดน พ.ศ. 2560 เพื่อกำหนดให้จุดผ่านแดนถาวรบ้านดิน อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว เป็นด่านพรมแดนบ้านเขาดิน ของด่านศุลกากรอรัญประเทศ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดด่านพรมแดนบ้านเขาดิน ตั้งอยู่หมู่ที่ 8 บ้านเขาดิน ตำบลคลองหาด อำเภอคลอง หาด จังหวัดสระแก้ว
2. กำหนดเขตแดนทางบก ราชอาณาจักรกับราชอาณาจักรกัมพูชา
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงพาณิชย์ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงพาณิชย์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
กษ. เสนอว่า เดิมได้มีกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงพาณิชย์ พ.ศ. 2561 ใช้บังคับ แต่เนื่องจากกฎกระทรวงดังกล่าวมีบทบัญญัติที่ไม่สอดคล้องหรือไม่ครอบคลุมข้อเท็จจริง บางประการ เช่น หลักเกณฑ์ในการพิจารณาอนุญาตให้ทำการประมงพาณิชย์ กรณีการแก้ไขรายการใบอนุญาต หรือกรณีการโอนใบอนุญาต จึงจำเป็นต้องยกเลิกกฎกระทรวงดังกล่าว ประกอบกับการทำประมงผิดกฎหมายของประเทศไทยยังมีปัญหาและเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการยกร่างกฎกระทรวงขึ้นใหม่ เพื่อให้ครอบคลุมการจัดสรรปริมาณสัตว์น้ำให้สอดคล้องกับขีดความสามารถในการทำการประมงและปริมาณผลิตผลสูงสุดของสัตว์น้ำที่สามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืนตามที่กำหนดไว้ในแผนบริหารจัดการการประมง รวมทั้ง เพื่อแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายของประเทศไทยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมโดยเร็ว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ให้ยกเลิกกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงพาณิชย์ พ.ศ. 2561
2. กำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตต้องมีกรรมสิทธิ์ในเรือประมงที่จะทำการประมง และในกรณีที่ ผู้ขอรับใบอนุญาตเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในเรือประมงหลายลำ ไม่ว่าจะเป็นเรือประมงไทย หรือมิใช่เรือประมงไทย ต้องแจ้งชื่อเรือประมงดังกล่าวทุกลำ พร้อมทั้งหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ในเรือประมงลำนั้น ส่วนเรือประมงที่ยังไม่ จดทะเบียนเป็นเรือไทยตามกฎหมายว่าด้วยเรือไทย ต้องมีหนังสือรับรองการขอจดทะเบียนเรือประมงจากกรมประมง
3. กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตสามารถยื่นคำขอแก้ไขรายการในใบอนุญาตได้ 5 กรณี ได้แก่ (1) แก้ไขรายการให้สอดคล้องกับข้อมูลที่ปรากฏในหลักฐานทางทะเบียนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (2) แก้ไขรายการกรณีนำเรือประมงลำอื่นมาทดแทนเรือที่มีใบอนุญาตทำการประมง (3) แก้ไขรายการเกี่ยวกับเครื่องมือทำการประมง (4) แก้ไขรายการเกี่ยวกับพื้นที่ทำการประมง และ (5) แก้ไขรายการกรณียกสิทธิของปริมาณสัตว์น้ำที่ได้รับการจัดสรรในรอบปีการประมง ทั้งนี้ การแก้ไขรายการในใบอนุญาตตาม (2) (3) และ (4) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวทางที่คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติเห็นชอบ
4. กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาการโอนใบอนุญาตในลักษณะควบรวมปริมาณสัตว์น้ำ เนื่องจากผู้รับใบอนุญาตสามารถนำปริมาณสัตว์น้ำของตนไปควบรวมกับปริมาณสัตว์น้ำของใบอนุญาตอื่นได้และหากมีปริมาณสัตว์น้ำคงเหลือจากการควบรวมดังกล่าว ผู้รับโอนใบอนุญาตสามารถนำเอาปริมาณสัตว์น้ำคงเหลือไปควบรวมกับเรือประมงลำอื่นได้อีก ทั้งนี้ หลักเกณฑ์การพิจารณาดังกล่าวให้คำนึงถึงประสิทธิภาพของเครื่องมือทำการประมง พื้นที่ทำการประมง และปริมาณสัตว์น้ำของใบอนุญาตฉบับเดิม และใบอนุญาตที่จะนำมาควบรวมปริมาณสัตว์น้ำ
5. กรณีผู้รับโอนใบอนุญาตในลักษณะควบรวมปริมาณสัตว์น้ำ ต้องดำเนินการกับเรือลำเดิมหรือเรือที่นำมาควบรวม แล้วแต่กรณี ตามที่ได้แจ้งความประสงค์ไว้ในคำขอ หากผู้ขอรับโอนใบอนุญาตในลักษณะควบรวมปริมาณสัตว์น้ำไม่ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด หรือภายในระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้ผ่อนผัน ให้ถือว่าการขอโอนใบอนุญาตในลักษณะควบรวมปริมาณสัตว์น้ำดังกล่าวเป็นอันสิ้นผล เสมือนหนึ่งว่าไม่เคยมีการโอนใบอนุญาตในลักษณะควบรวมปริมาณสัตว์น้ำมาก่อน และไม่มีสิทธิได้รับคืนใบอนุญาตฉบับเดิม และให้เพิกถอนใบอนุญาตที่ออกให้ใหม่จากการควบรวมปริมาณสัตว์น้ำนั้น ยกเว้นใบอนุญาตของบุคคลที่รับโอนเฉพาะปริมาณ สัตว์น้ำคงเหลือ ให้แก้ไขห้วงเวลาทำการประมงตามปริมาณสัตว์น้ำที่ได้รับจัดสรรตามใบอนุญาตฉบับเดิม
5. เรื่อง ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประสานงานการดำเนินคดีในความผิดตามกฎหมายการเงินการคลัง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประสานงาน การดำเนินคดีในความผิดตามกฎหมายการเงินการคลัง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
กค. เสนอรายงานว่า
1. โดยที่ได้มีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประสานงานการดำเนินคดีในความผิดตามกฎหมายการเงินการคลัง พ.ศ. 2546 ในข้อ 4 กำหนดให้มีคณะกรรมการประสานงานการดำเนินคดีในความผิดตามกฎหมายการเงินการคลัง ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นกรรมการ และให้ผู้อำนวยการกลุ่มงานป้องปรามการเงินนอกระบบ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการและเลขานุการ และเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
2. เนื่องจาก กค. ได้มีการปรับโครงสร้างของหน่วยงานภายใน โดยยุบเลิกและโอนภารกิจของ กลุ่มป้องปรามการเงินนอกระบบ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง ไปไว้ที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) โดยจัดตั้งเป็นสำนักนโยบายพัฒนากระบบการเงินภาคประชาชน ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2555 และกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2555 จึงทำให้โครงสร้างของคณะกรรมการประสานงานฯ ในส่วนของคณะกรรมการ และฝ่ายเลขานุการไม่สอดคล้องกับสถานะและโครงสร้างปัจจุบันของส่วนราชการ ส่งผลให้การประสานงาน เร่งรัด และติดตามการดำเนินคดีตามกฎหมายการเงินการคลัง การพิจารณาข้อเท็จจริง การตรวจสอบเอกสารหลักฐาน องค์ประกอบความผิดและวิธีที่จะดำเนินการกับผู้กระทำความผิดตามกฎหมายการเงินการคลังของคณะกรรมการประสานงานฯ ไม่สามารถดำเนินการได้
3. ดังนั้น เพื่อให้องค์ประกอบของคณะกรรมการประสานงานฯ ในส่วนของคณะกรรมการและ ฝ่ายเลขานุการสอดคล้องกับสถานะและโครงสร้างปัจจุบันของส่วนราชการ และเพื่อให้คณะกรรมการประสานงานฯ สามารถดำเนินการตามอำนาจและหน้าที่ต่อไปได้ จึงสมควรแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการประสานงานฯ ดังกล่าว นอกจากนี้เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติตามระเบียบ จึงได้แก้ไขในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีตามกฎหมายการเงินการคลังให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
สาระสำคัญของร่างระเบียบ
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประสานงานฯ พ.ศ. 2546 |
ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประสานงานฯ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... |
เหตุผล |
ข้อ 4 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการประสานงานการดำเนินคดีในความผิดตามกฎหมายการเงินการคลัง” ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ผู้แทนกรมศุลกากร ผู้แทนกรมสรรพสามิต ผู้แทนกรมสรรพากร ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย และผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เป็นกรรมการ ให้ผู้อำนวยการกลุ่มงานป้องปรามการเงินนอกระบบ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการและเลขานุการ และเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ |
ข้อ 4 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการประสานงานการดำเนินคดีในความผิดตามกฎหมายการเงินการคลัง” ประกอบด้วยปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ผู้แทนกรมศุลกากร ผู้แทนกรมสรรพสามิต ผู้แทนกรมสรรพากร ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ |
เพื่อให้องค์ประกอบของคณะกรรมการประสานงานการดำเนินคดีในความผิดตามกฎหมายการเงินการคลัง ในส่วนของกรรมการสอดคล้องกับสภาพการณ์และโครงสร้างปัจจุบันของส่วนราชการ
เพื่อให้องค์ประกอบของคณะกรรมการประสานงานการดำเนินคดีในความผิดตามกฎหมายการเงินการคลัง ในส่วนของฝ่ายเลขานุการสอดคล้องกับสภาพการณ์และโครงสร้างปัจจุบันของส่วนราชการ |
ข้อ 7 ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐเห็นว่ามีเอกสารหลักฐานเพียงพอในการพิจารณาการกระทำอันเป็นความผิดตามกฎหมายการเงินการคลัง ให้เสนอเรื่องดังกล่าวพร้อมเอกสารหลักฐานและข้อเท็จจริงพร้อมความเห็นต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณา |
ข้อ 7 ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐเห็นว่ามีเอกสารหลักฐานเพียงพอในการพิจารณาการกระทำอันเป็นความผิดตามกฎหมายการเงินการคลัง |
เพื่อให้เป็นดุลพินิจของหน่วยงานของรัฐที่จะพิจารณาเสนอเรื่องให้คณะกรรมการพิจารณา |
ข้อ 10 ภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย ให้หน่วยงานของรัฐที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบนี้วางระเบียบหรือออกคำสั่งภายในหน่วยงานของรัฐนั้น เพื่อให้การปฏิบัติตามระเบียบนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย |
ข้อ 10 ภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย ให้หน่วยงานของรัฐที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบนี้วางระเบียบหรือออกคำสั่งภายในหน่วยงานของรัฐนั้นให้เกิดความชัดเจน โดยพิจารณาถึงความสำคัญและความจำเป็นของคดีที่ต้องเสนอเรื่องให้คณะกรรมการพิจารณา เพื่อให้การปฏิบัติตามระเบียบนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย |
เพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบนี้วางระเบียบหรือออกคำสั่งภายในหน่วยงานให้เกิดความชัดเจนว่า คดีที่จะเสนอเรื่องให้คณะกรรมการพิจารณาจะต้องมีลักษณะอย่างไรบ้างโดยให้พิจารณาถึงความสำคัญและความจำเป็น |
6. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
พณ. เสนอว่า ประเทศไทยในฐานะรัฐสมาชิกสหประชาชาติมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติตามข้อ 25 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ โดยข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ 2418 (ค.ศ. 2018) และที่ 2428 (ค.ศ. 2018) ต่อไป โดยมีสาระสำคัญเพื่อต่ออายุและเพิ่มมาตรการลงโทษต่อสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน เกี่ยวกับมาตรการห้ามเดินทาง และมาตรการอายัดทรัพย์สิน รวมถึงเพิ่มการกำหนดมาตรการลงโทษทางอาวุธ จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2562 โดยกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติดังกล่าว จึงได้เสนอร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างประกาศ
1. กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน
2. กำหนดข้อยกเว้นที่มิให้ใช้บังคับในกรณี
2.1 การส่งออกหรือนำผ่านอาวุธและยุทโธปกรณ์ เพื่อสนับสนุนหรือใช้โดยบุคลากรของสหประชาชาติ ภารกิจของสหประชาชาติในสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน (United Nation Mission in the Republic of South Sudan : UNMISS) และกองกำลังชั่วคราวรักษาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติสำหรับ Abyei (United Nations Interim Security Force for Abyei : UNISFA)
2.2 การส่งออกหรือนำผ่านเครื่องอุปกรณ์ของอาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ไม่เป็นอันตรายร้ายแรงถึงแก่ชีวิตเพื่อนำไปใช้ด้านมนุษยธรรม การป้องกัน และให้ความช่วยเหลือทางเทคนิค หรือการฝึกอบรม
2.3 การส่งออกหรือนำผ่านเครื่องแต่งกายที่ใช้สำหรับการป้องกัน รวมทั้งเสื้อเกราะกันกระสุน และหมวกสนาม เพื่อนำไปใช้เฉพาะตัวเป็นการชั่วคราวสำหรับบุคลากรของสหประชาชาติ ผู้แทนสื่อมวลชน ผู้ปฏิบัติงานด้านมนุษยธรรมและการพัฒนา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
2.4 การส่งออกหรือนำผ่านอาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นการชั่วคราวโดยกองกำลังของรัฐสมาชิกที่ดำเนินการตามกฎหมายระหว่างประเทศ ในการอำนวยความสะดวกเพื่อการป้องกัน หรือการอพยพคนชาติของตนและบุคคลที่มีความรับผิดชอบทางกงสุลในสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน
2.5 การส่งออกหรือนำผ่านอาวุธและยุทโธปกรณ์ให้แก่ หรือเพื่อสนับสนุนกองกำลังสหภาพแอฟริกา (African Union Regional Task Force : AU-RTF) เพื่อการปฏิบัติการระดับภูมิภาคในการตอบโต้ กลุ่ม Lord’s Resistance Army)
2.6 การส่งออกหรือนำผ่านอาวุธและยุทโธปกรณ์เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามข้อตกลงสันติภาพ
2.7 การส่งออกหรือนำผ่านอาวุธและยุทโธปกรณ์ในกรณีอื่น ๆ
การส่งออกหรือนำผ่านอาวุธและยุทโธปกรณ์ตามข้อ 2.2 และ 2.4 ข้อ 2.5 ข้อ 2.6 และ ข้อ 2.7 ต้องเป็นไปตามวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อมติ
7. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สภากาชาดไทย)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สภากาชาดไทย) ตามที่สภากาชาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ตรวจพิจารณารวมเป็นฉบับเดียวกับร่างพระราชกฤษฎีกา รวม 4 ฉบับ ซึ่งอยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกาฯ เป็นการกำหนดให้สภากาชาดไทยเป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เพื่อให้เจ้าหน้าที่และลูกจ้างของสภากาชาดไทยที่ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว จำนวน 60 แห่ง อยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา 4 แห่ง ได้แก่ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2509
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2509 ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ มท. เสนอว่า
กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือนายอำเภอในการปฏิบัติหน้าที่ และเป็นหัวหน้าราษฎรในหมู่บ้านของตน มีหน้าที่หลักในการอำนวยความเป็นธรรมและรักษาความสงบเรียยร้อย ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช 2457 และกฎหมาย อื่น ๆ บัญญัติหรือกำหนดและเป็นพนักงานฝ่ายปกครองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2542) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2509 ได้กำหนดเครื่องแบบ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน และแพทย์ประจำตำบล ไว้จำนวน 2 ชนิด ประกอบด้วย เครื่องแบบปฏิบัติราชการและเครื่องแบบพิธีการ ยังไม่สอดคล้องและเหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อย ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน และแพทย์ประจำตำบล เป็นไปด้วยความเหมาะสม คล่องตัว สอดคล้องกับภารกิจหน้าที่ และ เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งสร้างความสง่างาม ความภาคภูมิใจ เป็นเกียรติและศักดิ์ศรีแก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2542) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2509 ให้มีเครื่องแบบปฏิบัติราชการที่เหมาะสมกับภารกิจและการปฏิบัติหน้าที่
สาระสำคัญ
ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้มีสาระสำคัญเพื่อเพิ่มเติม เครื่องแบบของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน และแพทย์ประจำตำบล ตามข้อ 9 และข้อ 10 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2542) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2509 โดยเพิ่มเครื่องแบบปฏิบัติราชการอีกหนึ่งประเภท คือ เครื่องแบบคอเปิดสีน้ำเงิน
เศรษฐกิจ - สังคม
9. เรื่อง ขออนุมัติดำเนินงานโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังนา ปี 2561/62
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่อง ขออนุมัติดำเนินงานโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังนาปี 2561/62 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ แล้วมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ (สงป.) ดังนี้
1. อนุมัติให้ กษ. ดำเนินโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังนา ปี 2561/62 ในส่วนของเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังฤดูกาลทำนา (พืชไร่และพืชผัก) จำนวน 4.87 ล้านไร่ ช่วยเหลือตามพื้นที่ปลูกจริงในอัตราไร่ละ 600 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 15 ไร่ โดยใช้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่กระทรวงการคลัง (กค.) อนุมัติให้กันเงินเบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม 2562 ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน 2,922 ล้านบาท ทั้งนี้ การสนับสนุนปัจจัยการผลิตไร่ละ 600 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 15 ไร่ เป็นการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางในลักษณะ งบดำเนินงาน ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบความเหมาะสมของอัตราค่าใช้จ่ายจาก กค. ก่อนตามนัยข้อ 3 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. 2559 และให้ขอทำความตกลงกับ สงป. ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2560 ต่อไป
2. ค่าใช้จ่ายในส่วนของ ธ.ก.ส. ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและค่าธรรมเนียมโอนเงิน ในกรอบวงเงิน 2.2729 ล้านบาท ให้ ธ.ก.ส. เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไปตามผลการจ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริง
3. สำหรับค่าใช้จ่ายบริหารโครงการ ได้แก่ ค่าประชาสัมพันธ์ ค่าใช้จ่ายในการยืนยันสิทธิ์และออกใบรับรอง และค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ/รับรองพื้นที่ให้ผลผลิต เป็นต้น ในกรอบวงเงิน 8.1546 ล้านบาท ให้กรมส่งเสริมการเกษตรปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จากผลผลิต/โครงการ/กิจกรรม หรือรายการ ที่คาดว่ามีงบประมาณเหลือจ่ายหรือจากรายการที่มีผลการดำเนินการล่าช้ากว่าแผน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายบริหารโครงการต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
1. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินงานโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังนา ปี 2561/62 โดยโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังนา ปี 2561/62 ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการน้ำที่เพิ่มขึ้นได้แก่ ค่าสูบน้ำ (ค่าไฟฟ้าและค่าน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องสูบน้ำ) และการบริหารจัดการศัตรูพืชสูงกว่าฤดูกาลปกติ โดยเป็นกลุ่มเกษตรกรที่ปลูกพืช อื่น ๆ ในนา เช่น พืชไร่ พืชผัก พืชใช้น้ำน้อย (ยกเว้นอ้อยและสับปะรด) ช่วยเหลือตามพื้นที่ปลูกจริงในอัตราไร่ละ 600 บาท โดยจะช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรดังกล่าวครัวเรือนละไม่เกิน 15 ไร่ โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 พื้นที่ ดังนี้
พื้นที่ |
ช่วงที่ทำการเพาะปลูก |
ช่วงการขึ้นทะเบียนเกษตรกร |
1. พื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ได้แก่ชัยนาท นครสวรรค์ สิงห์บุรี ลพบุรีอยุธยา สระบุรี ลพบุรี อ่างทองสุพรรณบุรี นครปฐม นนทบุรีและปทุมธานี)
|
1 พฤศจิกายน 2561- 31 มีนาคม 2562 |
ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2562 |
2. พื้นที่นอกเหนือจากพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่งและภาคใต้ |
1 พฤศจิกายน 2561 – 30 เมษายน 2562 |
ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2562 |
3. พื้นที่ภาคใต้ |
1 มีนาคม – 15 มิถุนายน 2562 |
ภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2562 |
ทั้งนี้ ระยะเวลาดำเนินโครงการ ตั้งแต่เดือนมีนาคม - กันยายน 2562
2. วิธีการดำเนินการ
2.1 หลักเกณฑ์การเข้าร่วมโครงการฯ จะต้องเป็นเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังนา
ปี 2561/62 และจะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
(1) เกษตรกรต้องมีสัญชาติไทย และบรรลุนิติภาวะแล้ว
(2) เป็นหัวหน้าครัวเรือนหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย (1 ครัวเรือน ต่อ 1 สิทธิ์) ที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังนา ปี 2561/62 กับกรมส่งเสริมการเกษตร
- พื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง จะต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกร ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2562
- พื้นที่นอกเหนือจากพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง และภาคใต้ จะต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกร ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2562
- พื้นที่ภาคใต้ จะต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกร ภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2562
(3) เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2559 - 2561) ปีใดปีหนึ่ง และพื้นที่เข้าร่วมต้องเป็นพื้นที่นาเท่านั้น ตั้งแต่ 1 งาน ขึ้นไปแต่ไม่เกิน 15 ไร่
(4) เป็นเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังนา ปี 2561/62 ที่ทำการเพาะปลูก พืชไร่ พืชผัก พืชอาหารสัตว์ และพืชปรับปรุงบำรุงดิน ยกเว้นอ้อยและสับปะรด
(5) เกษตรกรที่ปลูกพืชหลังนามากกว่า 1 ชนิด สามารถเลือกชนิดพืชในการขอรับการช่วยเหลือ แต่พื้นที่รวมกันต้องไม่เกิน 15 ไร่/ครัวเรือน
(6) กรณีเกษตรกรปลูกพืชอายุสั้นที่มีการเพาะปลูกหลายรอบการผลิตในพื้นที่เดียวกัน เช่น พืชผัก สามารถเข้าร่วมโครงการขอรับการช่วยเหลือได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
(7) เป็นเกษตรกรที่เปิดบัญชีเงินฝากไว้กับ ธ.ก.ส. หากไม่มีต้องไปเปิดบัญชีกับ
ธ.ก.ส.
(8) สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอที่ตั้งแปลงปลูก หรือสถานที่อื่นที่สำนักงานเกษตรอำเภอนัดหมายตามความเหมาะสม
2.2 การตรวจสอบรับรองสิทธิ์เกษตรกร
(1) ให้มีคณะทำงานตรวจสอบสิทธิ์ระดับตำบลเป็นผู้ตรวจสอบสิทธิ์
(2) ให้มีคณะกรรมการบริหารโครงการระดับอำเภอเป็นผู้รับรองสิทธิ์
(3) ให้มีคณะกรรมการบริหารโครงการระดับจังหวัดกำกับดูแล และแก้ไขปัญหาการรับรองสิทธิ์ของเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังนา ปี 2561/62
2.3 การขอใช้สิทธิ์เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการ
(1) กรมส่งเสริมการเกษตร ประกาศรายชื่อเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังนา ปี 2561/62 ที่ได้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตรให้เกษตรกรตรวจสอบข้อมูล เพื่อแจ้งยืนยันการเข้าร่วมโครงการฯ
(2) การตรวจสอบสิทธิ์ โดยคณะทำงานตรวจสอบสิทธิ์ ระดับตำบล มีหน้าที่ตรวจสอบสิทธิ์
(3) การรับรองสิทธิ์ โดยคณะกรรมการบริหารโครงการระดับอำเภอ มีหน้าที่รับรองสิทธิ์และบันทึกข้อมูลเข้าสู่ระบบสารสนเทศของกรมส่งเสริมการเกษตร
(4) กรมส่งเสริมการเกษตรส่งผลการรับรองสิทธิไปยัง ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ ตรวจสอบประมวลผลและโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของเกษตรกร
3. ระยะเวลาดำเนินการ มีนาคม – กันยายน 2562
10. เรื่อง การนำที่ดินขององค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาลมาใช้ในโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณถนนโครงการสาย ข7 อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการนำที่ดินของรัฐ [พื้นที่การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ในบริเวณสถานีจ่ายน้ำวัดภูเขาแก้ว] มาใช้ในโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณถนนโครงการสาย ข7 อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กรมโยธาธิการและผังเมือง โดยสำนักงานโยธาธิการและผังเมือง จังหวัดอุบลราชธานีร่วมกับเทศบาลเมืองพิบูลมังสาหาร และเทศบาลตำบลกุดชมภูได้ดำเนินโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณถนนโครงการสาย ข7 อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี โดยโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไปพร้อมกับจัดระเบียบแปลงที่ดินใหม่ ทั้งนี้ มีพื้นที่ดำเนินโครงการรวม 96 ไร่ 1 งาน 61.80 ตารางวา เจ้าของที่ดิน 12 ราย รวมถึงที่ดินขององค์การของรัฐบาลตามมาตรา 55 (4) แห่งพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ พ.ศ. 2547 ซึ่งเป็นที่ตั้งของการประปาส่วนภูมิภาค (สถานีจ่ายน้ำวัดภูเขาแก้ว) อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี พื้นที่ประมาณ 29 ไร่ 2 งาน 82 ตารางวา และภายหลังการดำเนินโครงการจัดรูปที่ดินดังกล่าวแล้ว ที่ดินของรัฐในความดูแลของการประปาส่วนภูมิภาคจะมีขนาดพื้นที่เท่าเดิมซึ่งเป็นไปตามมาตรา 56 มาตรา 62 และมาตรา 63 แห่งพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดิน เพื่อพัฒนาพื้นที่ พ.ศ. 2547 (สำหรับพื้นที่สาธารณะและพื้นที่จัดหาประโยชน์เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.06 และ 0.58 ตามลำดับ และพื้นที่เอกชนลดลงร้อยละ 7.54) ซึ่งการประปาส่วนภูมิภาคได้ยินยอมเข้าร่วมโครงการจัดรูปที่ดินดังกล่าวแล้ว รวมทั้งคณะกรรมการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ส่วนจังหวัดอุบลราชธานีและคณะกรรมการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ [ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน (รองปลัดกระทรวงมหาดไทยเข้าร่วมประชุมแทน)] ได้เห็นชอบให้นำที่ดินของรัฐบริเวณดังกล่าวมาใช้ในโครงการจัดรูปที่ดินฯ แล้ว
11. เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท ปรินดาจำกัด (มหาชน) ที่จังหวัดเพชรบุรี
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้
1. อนุมัติการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างตามคำขอประทานบัตรที่ 3 – 4/2553 ของบริษัท ปรินดา จำกัด (มหาชน) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอและให้กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่) รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
2. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่) กำกับให้บริษัท ปรินดา จำกัด (มหาชน) ดำเนินการให้เป็นไปอย่างถูกต้องครบถ้วน ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงอุตสาหกรรมแจ้งว่า บริษัท ปรินดา จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองชุมพลเหนือ อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ผู้ถือประทานบัตรชนิดเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างที่ 17791/14113 และที่ 17792/14114 ทั้ง 2 แปลงดังกล่าว ครบกำหนดสิ้นอายุแล้วเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2556 บริษัทฯ จึงมีความประสงค์จะขออนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 ที่ให้การต่ออายุประทานบัตรการทำเหมืองแร่ให้เสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติเป็นราย ๆ ไป) เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างในพื้นที่เดิม เนื้อที่รวม 429 ไร่ 2 งาน 46 ตารางวา ตามคำขอประทานบัตรใหม่ที่ 3-4/2553 ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่เห็นชอบต่อการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มของทั้ง 2 แปลงแล้ว และให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดตลอดจนพื้นที่ดังกล่าวไม่เป็นแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ ไม่เป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับการทำเหมืองการปิดประกาศ การขอประทานบัตรไม่มีผู้ร้องเรียนคัดค้าน
12. เรื่อง การดำเนินโครงการทนายความอาสาประจำสถานีตำรวจ ภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศที่มีความจำเป็นเร่งด่วน (Quick Win)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการทนายความอาสาประจำสถานีตำรวจ ภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศที่มีความจำเป็นเร่งด่วน (Quick Win) ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ โดยค่าใช้จ่ายของโครงการที่จะต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ให้ดำเนินการตามมาตรการด้านการงบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2561 (ซึ่งเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณในกรณีต่าง ๆ ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น) ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ต่อไป ให้สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรมจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของเรื่อง
โครงการทนายความอาสาประจำสถานีตำรวจ ภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศที่มีความจำเป็นเร่งด่วน (Quick Win) ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 5/2561 เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561 ซึ่งมีนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีขณะนั้นเป็นประธาน ให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักในการขอรับจัดสรรงบประมาณและจัดทำข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการดังกล่าวรวมทั้งพิจารณาแนวทางการจัดให้มีการบริการให้คำปรึกษาทางคดีผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้วยและให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา กระทรวงยุติธรรมจึงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบโครงการดังกล่าว โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
รายการ |
รายละเอียด |
วัตถุประสงค์ |
เพื่อให้ผู้ต้องหา ผู้เสียหาย และประชาชนทั่วไปเข้าถึงความยุติธรรมได้อย่างรวดเร็วประหยัดค่าใช้จ่าย ลดปริมาณคดีขึ้นสู่ศาล รวมถึงลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม |
เป้าหมาย |
มีผู้ต้องหา ผู้เสียหาย และประชาชนทั่วไปที่มาขอรับคำปรึกษาด้านกฎหมาย 250,000 คน |
แผนดำเนินโครงการ |
1) จัดอบรมชี้แจงผู้ปฏิบัติงานทนายความอาสาและพนักงานสอบสวนทั่วประเทศ 2) จัดทนายความอาสาประจำสถานีตำรวจ 150 สถานี ในช่วงเดือนเมษายน -กันยายน 2562 (สถานีตำรวจที่มีคดีสูงเกินกว่า 1,000 คดี จำนวน 125 สถานี และสถานีตำรวจประจำจังหวัดที่มีคดีสูงที่สุด 25 สถานี) ให้บริการทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการมี 2 กลุ่มคือ สถานีที่เปิดเวลา 08.30 - 16.30 น. และสถานีที่เปิด เวลา 08.30 - 23:30 น. 3) จัดทนายความอาสาตอบปัญหากฎหมายทางเว็บไซต์ที่ทำการสภาทนายความ |
ความคุ้มค่าและประโยชน์ที่จะได้รับ |
ประชาชนมีทางเลือกในการขอรับคำปรึกษาได้มากขึ้น ทำให้สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมในเบื้องต้นได้โดยสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลา และลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีในชั้นศาล ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และประหยัดงบประมาณของภาครัฐ โดยประมาณการว่าจะมีประชาชนขอรับคำปรึกษาทางกฎหมาย จำนวน 250,000 ราย ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการให้คำปรึกษา จำนวน 1,000 บาท/เรื่อง/คน คิดเป็นค่าใช้จ่ายของประชาชนที่ลดลงได้ประมาณ 250 ล้านบาท และคิดเป็นค่าใช้จ่ายที่รัฐสามารถลดได้ในกระบวนการพิจารณาของศาล (ประมาณจากอัตราต่ำสุดในศาลชั้นต้น) ประมาณ 1,115 ล้านบาท (คิดจากปริมาณคดี 250,000 คดี มีค่าใช้จ่าย 4,600 บาท/คดี) ซึ่งทั้งหมดเป็นผลมาจากการดำเนินโครงการนี้ที่ต้องใช้งบประมาณดำเนินโครงการจำนวน 36.36 ล้านบาท (งบประมาณปี พ.ศ. 2562) |
13. เรื่อง มาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2562 – 2565)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2562 – 2565) และรับทราบผลการดำเนินการตามมาตรการบริหารและพัฒนากำลังภาครัฐ (พ.ศ. 2557 – 2561) ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ด้วยมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2557 – 2561) (ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมิติเห็นชอบเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2556) สิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการแล้วเมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ฝ่ายเลขานุการ คปร. จึงได้จัดทำมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2562 – 2565) เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐให้กับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังภาครัฐ (คปร.) มีมติเห็นชอบมาตรการดังกล่าวด้วยแล้วในการประชุม คปร. ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 โดยมาตรการฯ ที่เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในครั้งนี้มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการบริหารกำลังคนภาครัฐ จากมาตรการฯ ฉบับเดิม เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของส่วนราชการ ตลอดจนเพื่อให้ส่วนราชการสามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ตามแผนการปฏิรูปประเทศ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติและยุทธศาสตร์ชาติ โดยได้กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐที่แตกต่างจากมาตราการฯ ฉบับเดิม ใน 6 ประเด็น สรุปได้ ดังนี้
1. มาตรการบริหารจัดการกำลังภาครัฐ (พ.ศ. 2562 – 2565) ที่เสนอในครั้งนี้มุ่งเน้นเกี่ยวกับ “การบริหารอัตรากำลัง” เป็นหลัก ส่วนประเด็นการพัฒนากำลังคน สำนักงาน ก.พ. อยู่ระหว่างจัดทำ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ (พ.ศ. 2562 – 2565) ตามแนวทางการจัดทำแผนตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560 เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินงานให้บรรลุผลระยะแรกตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดินและทิศทางและเป้าหมายระยะยาวตามยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐต่อไป
2. มาตรการฯ ฉบับนี้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐเชิงกลยุทธ์มากยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการกำลังคนเพื่อรองรับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ที่มีเป้าหมายว่า ภาครัฐมีกำลังคนในภาพรวมทั้งประเภทและขนาดที่เหมาะสม ตลอดจนให้ความสำคัญกับการติดตามประเมินผลการใช้กำลังคน และการนำระบบสารสนเทศมาใช้ในการบริหารจัดการและวางแผนกำลังคนอีกด้วย
3. มาตรการฯ ฉบับนี้ได้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุ เพื่อให้การบริหารจัดการกำลังคนของส่วนราชการเป็นไปอย่างต่อเนื่องและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงของส่วนราชการ ตลอดจนเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคคลของภาครัฐโดยได้ปรับปรุงใน 3 ประเด็นหลัก ดังนี้
3.1 ปรับปรุงการแบ่งขนาดส่วนราชการ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ส่วนราชการมีความหลากหลาย กล่าวคือ จากเดิมที่แบ่งขนาดส่วนราชการเป็น 2 กลุ่ม คือ (1) ส่วนราชการที่มีข้าราชการไม่เกิน 1,000 อัตรา และ (2) ส่วนราชการที่มีข้าราชการเกินกว่า 1,000 อัตรา ปรับเป็น 3 กลุ่ม คือ (1) ส่วนราชการขนาดเล็ก (แบ่งย่อยเป็นส่วนราชการที่มีข้าราชการไม่เกิน 300 อัตรา และส่วนราชการที่มีข้าราชการ 301 – 1,000 อัตรา) (2) ส่วนราชการขนาดกลาง (มีข้าราชการ 1,001 – 5,000 อัตรา) และ (3) ส่วนราชการขนาดใหญ่ (มีข้าราชการ 5,001 อัตรา ขึ้นไป)
3.2 เนื่องจากฝ่ายเลขานุการ คปร. ได้วิเคราะห์ข้อมูลการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุตามมาตรการฯ ฉบับเดิมแล้วพบว่า จากกรณีที่มาตรการฯ ฉบับเดิมได้กำหนดให้ส่วนราชการที่มีอัตราข้าราชการเกินกว่า 1,000 อัตรา สามารถจัดสรรอัตราว่างฯ โดยการคืนส่วนราชการเดิมได้เพียงร้อยละ 20 ของอัตราว่างฯ ทั้งหมด และอีกร้อยละ 80 ให้ อ.ก.พ. กระทรวงพิจารณาจัดสรร นั้น ในระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 – 2560 อ.ก.พ. กระทรวง จัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุโดยการคืนส่วนราชการเดิมเพื่อนำไปบริหารจัดการ เป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 97.80 ของอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุทั้งหมดซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ส่วนราชการมีความจำเป็นต้องใช้อัตรากำลังเพื่อปฏิบัติภารกิจอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น มาตรการฯ ฉบับนี้จึงได้กำหนดให้ส่วนราชการสามารถนำอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุไปบริหารจัดการอย่างต่อเนื่องได้ทันทีไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของอัตราว่างฯ ทั้งหมด (กล่าวคือกำหนดให้ส่วนราชการที่มีข้าราชการไม่เกิน 300 อัตรา จัดสรรคืนได้ทั้งหมด ร้อยละ 95 ส่วนราชการที่มีข้าราชการ 301 – 1,000 อัตรา จัดสรรคืนฯ ได้ร้อยละ 95 ส่วนราชการที่มีข้าราชการ 1,001 – 5,000 อัตรา จัดสรรคืนฯ ได้ร้อยละ 70 และส่วนราชการที่มีข้าราชการ 5,001 อัตรา ขึ้นไป จัดสรรคืนฯ ได้ร้อยละ 60) โดยไม่ต้องรอการพิจารณาจัดสรรจาก อ.ก.พ. กระทรวง เพื่อให้ส่วนราชการสามารถนำอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุไปบริหารจัดการได้อย่างต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น
3.3 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคคลของภาครัฐ มาตรการฯ ฉบับนี้ได้สนับสนุนการทดแทนอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุด้วยการจ้างงานรูปแบบอื่น (พนักงานราชการ) และได้กำหนดสัดส่วนร้อยละของการทดแทนให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่มิได้ระบุจำนวนร้อยละของการทดแทน ปรับปรุงเป็นให้ทดแทนฯ ตามขนาดของส่วนราชการร้อยละ 5 – 15 ของอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุ (ส่วนราชการที่มีข้าราชการ 301 – 1,000 อัตรา ทดแทนฯ ร้อยละ 5 ส่วนราชการที่มีข้าราชการ 1,001 – 5,000 อัตรา ทดแทนฯ ร้อยละ 10 และส่วนราชการที่มีข้าราชการ 5,001 อัตรา ขึ้นไป ทดแทนฯ ได้ร้อยละ 15)
4. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เนื่องจากฝ่ายเลขานุการ คปร. พบว่า จากกรณีที่มาตรการฯ ฉบับเดิม กำหนดให้คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) สามารถจัดสรรอัตราว่างฯ คืนตำแหน่งสถานศึกษาได้ในกรณีที่มีจำนวนนักเรียนไม่น้อยกว่า 250 คน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 – 2561 ก.ค.ศ. จึงไม่สามารถจัดสรรอัตราเกษียณคืนให้กับสถานศึกษาทั้งระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษาที่มีจำนวนนักเรียนน้อยกว่า 250 คน รวม 11,839 อัตรา คิดเป็นร้อยละ 10.50 ดังนั้น เพื่อลดผลกระทบต่อการพัฒนาการเรียนการสอนของสถานศึกษาและปัญหาการขาดแคลนครู มาตรการฯ ฉบับนี้ จึงได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์โดยกำหนดให้ ก.ค.ศ. สามารถจัดสรรอัตราว่างฯ คืนตำแหน่งในสถานศึกษาที่มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 120 คนขึ้นไปได้
5. เพิ่มหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอรับการจัดสรรอัตราตั้งใหม่ โดยมุ่งเน้นให้ส่วนราชการตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องบริหารอัตรากำลังที่มีอยู่เดิมให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดให้ส่วนราชการที่ขอรับการจัดสรรอัตราตั้งใหม่ต้องพิจารณาเกลี่ยอัตรากำลังที่มีอยู่เดิมของส่วนราชการต่าง ๆ ทั้งในและต่างกระทรวง/กรม มาปฏิบัติภารกิจในระยะแรกก่อนการจัดทำคำขอมายัง คปร.
6. กำหนดเพิ่มกลไกการติดตามและประเมินผลการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ โดยกำหนดให้ส่วนราชการรายงานผลการบริหารอัตรากำลังข้าราชการระหว่างปีงบประมาณ ข้อมูลอัตรากำลังทุกประเภท (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ตุลาคมของทุกปีงบประมาณ) รวมถึงรายงานอื่น ๆ ตามที่มาตรการฯ กำหนด ให้ คปร. ทราบ
ทุกปีงบประมาณ เพื่อที่ คปร. จะได้นำไปกำหนดมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของส่วนราชการในระยะต่อไป
14. เรื่อง การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข (ตำแหน่งนายแพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้แก่สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) (ตำแหน่งนายแพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) ตามมติ คปร. ในการประชุมครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะกรรมการและเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักงาน ก.พ. ในฐานะกรรมการและเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 โดยเห็นชอบการจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งแพทยศาสตร์และทันตแพทยศาสตร์ จำนวน 1,358 อัตรา เพื่อรองรับการบรรจุนักศึกษาคู่สัญญาวิชาแพทยศาสตร์และทันตแพทยศาตร์ที่สำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2562 โดยประมาณการว่าจะมีการใช้งบประมาณด้านบุคลากร รวมทั้งสิ้น 424,375,680 บาท/ปี มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
ตำแหน่ง |
จำนวนข้าราชการ ตั้งใหม่ (อัตรา) |
ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร (บาท/เดือน) |
เหตุผล |
|
คำขอ |
มติ คปร. |
|||
นายแพทย์ |
1,308 |
1,308 |
34,010,640
|
- เพื่อรองรับนักศึกษาคู่สัญญากับกระทรวงสาธารณสุขสำหรับบรรจุในตำแหน่งดังกล่าว ให้มีจำนวนตามเป้าหมายที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด - เพื่อรองรับงานที่ต้องดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล - เพื่อปฏิบัติภารกิจการให้บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกลเพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น |
ทันตแพทย์ |
50 |
50 |
1,354,000 |
|
เภสัชกร |
279 |
- |
- |
- ที่ผ่านมาสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้บริหารตำแหน่งว่างที่มีอยู่ โดยการยุบเลิกตำแหน่งพนักงานสาธารณสุขที่ว่าง รวมทั้งได้จ้างงานเภสัชกรในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อรองรับนักศึกษาคู่สัญญาวิชาเภสัชศาสตร์ได้ โดยไม่มีอัตรากำลังตั้งใหม่ - ปัจจุบันสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข มีตำแหน่งว่าง รวมทั้งสิ้น 10,830 อัตรา (ข้อมูล ณ วันที่ 1 เมษายน 2561) ดังนั้น จึงควรมีการวางแผนการกำหนดตำแหน่งว่างดังกล่าวนำมากำหนดเป็นตำแหน่งเภสัชกรตามความจำเป็น - จากเหตุผลข้างต้น คปร. จึงมีมติให้กระทรวงสาธาณสุขพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมของการขอกำหนดอัตราข้าราชการตั้งใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยให้คำนึงถึงความเป็นไปได้ในการใช้อัตราว่างที่มีอยู่ของสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธาณสุข มากำหนดตำแหน่งเภสัชกรตามความจำเป็น รวมทั้งให้พิจารณาการจ้างงานด้วยรูปแบบอื่นเพื่อทดแทนการบรรจุเป็นข้าราชการด้วย |
รวม |
1,637 |
1,358 |
35,364,640 |
|
ค่าใช้จ่ายบุคลากร (บาท/ปี) |
424,375,680 |
|
นอกจากนี้ คปร. มีมติเห็นควรแจ้งยืนยันให้กระทรวงสาธารณสุขทราบอีกครั้งหนึ่งว่า คปร. จะจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่เพื่อรองรับการบรรจุนักศึกษาวิชาแพทยศาสตร์และทันตแพทยศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2564 เป็นปีสุดท้าย และขอให้กระทรวงสาธารณสุขวิเคราะห์พร้อมจัดทำข้อเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาทบทวนเกี่ยวกับการเป็นนักศึกษาคู่สัญญาของนักศึกษาวิชาแพทยศาสตร์และทันตแพทยศาสตร์ด้วย
15. เรื่องการปรับปรุงหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้
การกำกับ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. เพิ่มวงเงินสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่ผู้ประกอบธุรกิจจะสามารถให้สินเชื่อแก่ประชาชน จากเดิม 50,000 บาทต่อราย เป็น 100,000 บาทต่อราย
2. ปรับปรุงข้อกำหนดเกี่ยวกับทุนจดทะเบียนหรือเงินลงหุ้นของผู้ประกอบธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับวงเงินที่เพิ่มขึ้น
2.1 กรณีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ประสงค์จะให้สินเชื่อแก่ประชาชนไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย ต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วหรือเงินลงหุ้นขั้นต่ำไว้ที่ 5 ล้านบาท กรณีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ประสงค์จะต้องการให้สินเชื่อแก่ประชาชนไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วหรือเงินลงหุ้นไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท ส่วนผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์อยู่เดิมหากประสงค์จะให้สินเชื่อ เกินกว่า 50,000 บาทต่อราย แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ให้เพิ่มทุนจดทะเบียนชำระแล้วหรือเงินลงหุ้นจากเดิมไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท เป็นไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท เพื่อให้สะท้อนถึงความมั่นคงในการประกอบธุรกิจที่มีการให้สินเชื่อต่อรายในวงเงินที่สูงขึ้น
3. ผู้ประกอบธุรกิจอาจเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใด ๆ จากลูกหนี้รวมกันแล้วเป็นอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate) จากเดิมไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี เป็นดังนี้
3.1 วงเงินสินเชื่อ 50,000 บาทแรก อาจเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใด ๆ รวมแล้วไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี
3.2 วงเงินสินเชื่อส่วนที่เกินกว่า 50,000 บาท อาจเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใด ๆ รวมแล้วไม่เกินร้อยละ 28 ต่อปี
16. เรื่อง ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันไว้เบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม 2562 แล้ว เป็นจำนวนเงิน 37,900 ล้านบาท เพื่อจัดสรรให้แก่ กองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ภายใต้พระราชบัญญัติการจัดประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม พ.ศ. 2562 สำหรับดำเนินการ ตามมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มี บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2
2. เห็นชอบการเพิ่ม กิจการไฟฟ้า สวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ เข้าร่วมมาตรการบรรเภาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปาภายใต้มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยให้ดำเนินการเช่นเดียวกับ กฟน. และ กฟภ. เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถใช้สิทธิตามมาตรการได้อย่างทั่วถึง อันจะเป็นการช่วยลดภาระค่าครองชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ กิจการไฟฟ้า สวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือให้บริการผู้ใช้ประมาณ 51,800 ราย ซึ่งอยู่นอกพื้นที่ให้บริการของ กฟภ.
17. เรื่อง การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ประจำปี พ.ศ. 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ประจำปี พ.ศ. 2562 โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
1. กระทรวงมหาดไทย ดำเนินการ
1.1 ออกกฎกระทรวงเพื่อยกเว้นค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองในกระบวนการที่เกิดขึ้นจากการเดินทางออกจากราชอาณาจักรเพื่อไปร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. 2562 และเดินทางกลับเข้ามาในราชอาณาจักรภายในระยะเวลาที่กำหนด
1.2 ออกประกาศกระทรวงมหาดไทยโดยอาศัยอำนาจตามมตรา 17 แห่ง พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 เพื่อรองรับการดำเนินการ
1) ยกเว้นไม่ต้องยื่นคำขออนุญาตเพื่อกลับเข้ามาในราชอาณาจักรอีก (Re – Entry Permit) ตามมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ในกรณีที่แรงงานต่างด้าวเดินทางออก – เข้าระหว่างวันที่ 5 – 30 เมษายน 2562
2) ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองที่จะเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non – Immigrant) รหัส L – A และประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเท่ากับระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเดิมในกรณีที่แรงงานต่างด้าวที่เดินทางออกตามมาตรการนี้ เดินทางเข้าราชอาณาจักรระหว่างวันที่ 1 – 31 พฤษภาคม 2562 โดยมีอัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้ คือ ประเภทคนอยู่ชั่วคราวชนิดใช้ได้ครั้งเดียว 2,000 บาท
3) ให้นำ (ร่าง) กฎกระทรวงและ (ร่าง) ประกาศกระทรวงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในคราวเดียวกัน ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2560 ที่ให้กระทรวงแรงงานประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยในโอกาสแรก เพื่อให้สามารถดำเนินการเสนอ (ร่าง) กฎกระทรวงและ (ร่าง)ประกาศกระทรวง ประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
2. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองที่ประจำ ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองที่รับผิดชอบช่องทางในการเข้า – ออกราชอาณาจักร ดำเนินการ
2.1 ระหว่างวันที่ 5 – 30 เมาษายน 2562 ดำเนินการประทับตราอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวเดินทางออกนอกราชอาณาจักรและประทับตราอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรในหนังสือเดินทาง เอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง หรือหนังสือรับรองสถานะบุคคล
2.2 ระหว่างวันที่ 1 -31 พฤษภาคม 2562 ดำเนินการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non – Immigrant) รหัส L – A ให้กับแรงงานต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรและจัดเก็บค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ 2,000 บาท
2.3 รายงานผลการเดินทางให้กระทรวงแรงงานทราบในระหว่างดำเนินการและสิ้นสุดการดำเนินการแล้ว
3. กระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการ
3.1 กรมการกงสุลมอบอำนาจการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non – Immigrant) รหัส L – A ให้กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองดำเนินการตรวจลงตราให้กับแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา ที่เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรตามมาตรการนี้ และเดินทางกลับเข้ามาในราชอาณาจักรระหว่างวันที่ 1 – 31 พฤษภาคม 2562 โดยมีระยะเวลาอนุญาตให้อยู่ในราชอารณาจักรเท่ากับระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเดิม และชำระค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราตามที่กฎหมายกำหนด
3.2 กรมเอเชียตะวันออก ประสานแจ้งแนวทางการดำเนินการตามมาตรการนี้ให้สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ ประเทศต้นทางของแรงงานต่างด้าวได้รับทราบและพิจารณาเตรียมการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
4. ทุกหน่วยงานให้ความร่วมมือในการดำเนินการ และเร่งทำการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ทุกพื้นที่ รวมถึงอำนวยความสะดวกตามอำนาจหน้าที่ ให้กับแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทางในการร่วมงานประเพณีสงกรานต์ประจำปี พ.ศ. 2562 และกำกับดูแลมิให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ เพื่อลดการกล่าวหาการเรียกรับหรือแสวงหาผลประโยชน์โดยผิดกฎหมาย
ต่างประเทศ
18. เรื่อง การให้สิทธิพิเศษทางภาษีในกรอบอาเซียนกับการค้าที่มีการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับการส่งสินค้าจากประเทศสมาชิกที่เป็นคนกลางไปยังประเทศสมาชิกอื่น (Back – to – Back Certificate of Origin) ควบคู่กับการใช้ใบกำกับราคาสินค้าของประเทศที่สาม (Third Country Invoicing)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ไทยดำเนินการให้สิทธิพิเศษทางภาษีในกรอบอาเซียนกับการค้าที่มีการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับการส่งสินค้าจากประเทศสมาชิกที่เป็นคนกลางไปยังประเทศสมาชิกอื่น (Back – to – Back Certificate of Origin) ควบคู่กับการใช้ใบกำกับราคาสินค้าของประเทศที่สาม (Third Country Invoicing) โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) และกระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีในกรอบอาเซียนกับการค้าที่มีการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนินสินค้าสำหรับการส่งสินค้าจากประเทศสมาชิกที่เป็นคนกลางไปยังประเทศสมาชิกอื่น (Back – to – Back – Certificate of Origin) ควบคู่กับการใช้ใบกำกับราคาสินค้าของประเทศที่สาม (Third Country Invoicing) ได้กับทั้งการส่งออกและนำเข้า ตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอ
เนื่องจากประเทศสมาชิกอาเซียนประเทศอื่น ๆ นอกจากประเทศไทย ได้เห็นชอบให้สามารถได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีเรื่องดังกล่าวแล้ว โดยจะเป็นการอำนวยความสะดวกทางการค้าให้แก่ผู้นำเข้าและผู้ส่งออกในอาเซียน รวมถึงสะท้อนรูปแบบการค้าที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ไทยจะแจ้งความพร้อมในการปฏิบัติในเรื่องดังกล่าวต่อที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพระหว่างวันที่ 24 – 25 เมษายน 2562 ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย
19. เรื่อง การต่ออายุบันทึกความตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลฟิลิปปินส์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติการต่ออายุบันทึกความตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลฟิลิปปินส์ไปอีก 2 ปี คือ ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2561 – 31 ธันวาคม 2563 โดยการแลกเปลี่ยนหนังสือ (Exchange of Notes) ระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) มีหนังสือถึง กต. ฟิลิปปินส์เสนอการต่ออายุบันทึกความตกลงฯ 2 ปีดังกล่าว ตามข้อเสนอของฝ่ายฟิลิปินส์
2. มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมอบหมายให้เป็นผู้ลงนามในหนังสือถึง กต. ฟิลิปปินส์ เสนอการต่ออายุบันทึกความตกลงฯ 2 ปี ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมอบหมายผู้แทนเป็นผู้ลงนามในหนังสือดังกล่าว มอบหมายให้ กต. จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ด้วย
การต่ออายุบันทึกความตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลฟิลิปปินส์ในครั้งนี้เป็นรูปแบบเดียวกับการต่ออายุบันทึกความตกลงฯ ล่าสุดที่ได้หมดอายุเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2561 โดยบันทึกความตกลงดังกล่าวมีสาระสำคัญคือกำหนดปริมาณการซื้อขายข้าวระหว่างกันไม่เกิน 1 ล้านตันต่อปี โดยมีเงื่อนไขขึ้นอยู่กับอุปสงค์ของตลาดสถานการณ์ผลิตและปริมาณข้าวของแต่ละประเทศ และราคาตลาดระหว่างประเทศที่มีการซื้อขายจริงในขณะนั้น โดยตั้งแต่ปี 2557 – 2561 รัฐบาลฟิลิปปินส์นำเข้าข้าวจากไทยแล้ว จำนวน 6 ครั้ง ปริมาณรวม 1.1 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 499 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 16,674 ล้านบาท)
20. เรื่อง ขอความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศเพื่อปราบปรามการก่อการร้ายทางนิวเคลียร์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการให้สัตยาบันอนุสัญญาระหว่างประเทศเพื่อปราบปรามการก่อการร้ายทางนิวเคลียร์ (International Convention for the Suppression of Acts of Nuclear Terrorism) โดยไม่รับกระบวนการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการและการเสนอเรื่องสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เป็นผู้ดำเนินการตามกระบวนการที่เกี่ยวข้องในการให้สัตยาบันอนุสัญญาฯ และมอบหมายให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) เป็นหน่วยประสานงานหลักระดับชาติในการดำเนินการตามพันธกรณีของอนุสัญญาฯ ภายหลังจากที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ แล้ว ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เสนอ
สาระสำคัญของอนุสัญญาฯ เป็นการกำหนดพันธกรณีที่รัฐภาคีจะต้องดำเนินการตามหลักการของกฎบัตร UN เกี่ยวกับการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ การส่งเสริมความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ความสัมพันธ์ฉันมิตรและความร่วมมือระหว่างรัฐ ซึ่งครอบคลุมถึงประเด็นต่าง ๆ เช่น การระบุเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน โดยใช้วัสดุกัมมันตรังสีหรือวัสดุนิวเคลียร์ และการก่อวินาศกรรมโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์และโรงงานหรือยานพาหนะที่มีวัสดุกัมมันตรังสีหรือวัสดุนิวเคลียร์ เป็นต้น
21. เรื่อง ร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษ เรื่อง การป้องกันการลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบการดำเนินการตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์และการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสัตว์ป่าและพืชป่าว่าด้วยการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย (Statement of ASEAN Ministers Responsible for CITES and Wildlife Enforcement on Illegal Wildlife Trade) และร่างถ้อยแถลงข่าวร่วม (Joint Press Statement) รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีอาเซียนฯ และร่างถ้อยแถลงข่าวร่วม ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีอาเซียนฯ และร่างถ้อยแถลงข่าวร่วม ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอ
สาระสำคัญของร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีอาเซียนฯ และร่างถ้อยแถลงข่าวร่วม มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาและมุ่งเน้นความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมายอย่างมีแบบแผนและมีทิศทางที่แน่นอน โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. การดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าในระดับภูมิภาคและระดับโลก (Global and Regional Wildlife Trade Policy) โดยในระดับโลก (Global Level) คือ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) เป้าหมายที่ 15.7 ว่าด้วยการปฏิบัติอย่างเร่งด่วนเพื่อยุติการล่าและการลักลอบค้าซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่า และแก้ปัญหาด้านอุปสงค์และอุปทานที่มีต่อผลิตภัณฑ์สัตว์ป่าและพืชป่าที่ผิดกฎหมาย และ 15.c ว่าด้วยการเพิ่มการสนับสนุนในระดับโลกสำหรับความพยายามในการต่อต้านการล่าและการลักลอบค้าซึ่งชนิดพันธุ์คุ้มครอง ตลอดจนการเพิ่มขีดความสามารถของชุมชนท้องถิ่นให้ดำรงชีวิตอยู่กับแหล่งทรัพยากรอย่างยั่งยืนและอนุสัญญา CITES ส่วนในระดับภูมิภาค (Regional Level) มีกรอบแนวทางในการดำเนินการแก้ไขปัญหาคือ แผนปฏิบัติการความร่วมมือของอาเซียนว่าด้วยอนุสัญญา CITES และการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสัตว์ป่าและพืชป่า (Plan of Action for ASEAN Cooperation on CITES and Wildlife Enforcement (2016-2020)) และได้จัดทำแผนการดำเนินงานของคณะทำงานด้านการลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชป่าที่ผิดกฎหมาย (Work Programme of SOMTC Working Group on Illicit Trafficking of Wildlife and Timber (2019 – 2021))
2. การลดความต้องการบริโภค (Demand Reduction) โดยร่วมมือกันรณรงค์เพื่อลดความต้องการบริโภคชนิดสัตว์ป่าและพืชป่า เสริมสร้างความตระหนักรู้และความรู้ด้านกฎหมายให้แก่ชุมชนท้องถิ่น รวมถึงการศึกษาวิจัยการขับเคลื่อนของตลาดสำหรับชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าหรือผลิตภัณฑ์
3. การบังคับใช้กฎหมาย (Law Enforcement) ให้เข้มแข็งขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาการไหลเวียนของเงินตราที่ผิดกฎหมาย ต่อต้านการทุจริตคอรัปชันและการฟอกเงิน โดยการปรับปรุงการบังคับใช้กฎหมายในประเทศให้ดีขึ้น การร่วมมือโดยผ่านเครือข่ายการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสัตว์ป่าและพืชป่า (WENs) และการจัดทำแนวทางของอาเซียนในการสืบค้นและต่อต้านการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย
4. การต่อต้านอาชญากรรมสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมายทางอินเตอร์เน็ต (Wildlife Cybercrime) โดยมีการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดด้านสัตว์ป่าและพืชป่าที่อยู่ในสื่อสังคมออนไลน์และจัดตั้งคณะทำงานระหว่างประเทศเพื่อปราบปรามการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมายทางอินเตอร์เน็ต พร้อมทั้งสนับสนุนให้สมาชิกอาเซียนจัดตั้งหรือเพิ่มชุดปฏิบัติการเฉพาะในระดับชาติ เพื่อติดตามการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมายทางอินเทอร์เน็ต
แต่งตั้ง
22. เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการ PISA แห่งชาติ [โปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment : PISA)]
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการ PISA แห่งชาติ [โปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment : PISA)] โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ ดังนี้
องค์ประกอบ
1. นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ ประธานกรรมการ
2. ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รองประธานกรรมการ
3. เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน รองประธานกรรมการ
4. รองศาสตราจารย์ คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
5. นายธงชัย ชิวปรีชา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
6. นายศรัณย์ โปษยะจินดา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
7. นางเนตรชนก วิภาตะศิลปิน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
8. อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรรมการ
9. ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหาคร กรรมการ
10. เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กรรมการ
11. เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กรรมการ
12. ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กรรมการ
13. ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ได้รับมอบหมาย กรรมการและเลขานุการ
14. ผู้อำนวยการสำนักทดสอบทางการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ช่วยเลขานุการ
15. ผู้อำนวยการสำนักวิชาการวัดและประเมินผล สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้ช่วยเลขานุการ
อำนาจหน้าที่
1. กำหนดนโยบายและทิศทางการดำเนินงานพัฒนาการศึกษาของประเทศ โดยเรียนรู้ผลการทดสอบ PISA เพื่อยกระดับผลการทดสอบ PISA ของประเทศ
2. สนับสนุนหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการศึกษาของประเทศในทุกภาคส่วนให้ประสานความร่วมมือกันอย่างจริงจัง และสร้างเครือข่ายการดำเนินงานแบบบูรณาการ เพื่อยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของประเทศ อันนำไปสู่การยกระดับผลการทดสอบ PISA ของประเทศ
3. เป็นตัวแทนประเทศไทยในการเข้าร่วมประชุมกับองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (PISA)
4. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ และ/หรือคณะทำงานได้ตามความเหมาะสม เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และสอดคล้องกับนโยบายและทิศทางที่กำหนดไว้ในข้อ 1.
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2562 เป็นต้นไป
23. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้ง นางฤชุกร สิริโยธิน (เป็นบุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ) เป็นกรรมการในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ แทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2562 เป็นต้นไป
24. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาวิศวกร ตามมาตรา 24 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. 2542
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาวิศวกร สมัยที่ 7 แทนกรรมการเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี จำนวน 5 คน ดังนี้
1. นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ 2. นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ 3. นายวัลลภ รุ่งกิจวรเสถียร 4. นายอาทร สินสวัสดิ์ 5. นายเสถียร เจริญเหรียญ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2562 เป็นต้นไป
25. เรื่อง การเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอแต่งตั้งบุคคลเป็นประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ดังนี้
1. นายดิสทัต โหตระกิตย์ ประธานกรรมการ
2. นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ กรรมการ
3. พลเอก สมศักดิ์ รุ่งสิตา กรรมการ
4. นางสาวนันธิกา ทังสุพานิช กรรมการ
5. นายสุธน บุญประสงค์ กรรมการ
6. นายพรพจน์ เพ็ญพาส กรรมการ
7. รองศาสตราจารย์พิสุทธิ์ เพียรมนกุล กรรมการ
8. นายปกรณ์ อาภาพันธุ์ กรรมการ
9. นางสาวนิรมาณ ไหลสาธิต กรรมการ
10. นายพรชัย ฐีระเวช กรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2562 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี