13 เม.ย. 62 ศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ อาจารย์สาขาวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก มีเนื้อหาระบุว่า ความยากไร้ของสุวินัยในการแกะรอยธนาธร
%%%%
การพยายามแกะรอยความคิด และความจริงในบุคคลคนหนึ่ง ที่สำคัญกรอบอ้างอิงที่ใช้ตีความต้องถูกต้องแม่นยำ ไม่เบี่ยงเบน มิฉะนั้นแทนที่จะแกะรอยเจอตัวจริงของบุคคล อาจแกะรอยไปเจอ "ปีศาจ" ที่ตัวเองปั้นขึ้นมาหลอกตัวเองก็เป็นได้
ดังในกรณีสุวินัยแกะรอยธนาธรนี้
มี ๒ ประเด็นหลักที่เป็นความเข้าใจผิด/มิจฉาทิฐิอย่างยิ่งของสุวินัย ภรณวลัยในข้อเขียนด้านล่างนี้
๑) อะไรคืออุดมการณ์การปฏิวัติ ๒๔๗๕?
-สุวินัยไม่เคยระบุชัดในข้อเขียนข้างล่าง แต่ให้ความรู้สึกว่าเป็นเรื่องรุนแรง เผชิญหน้า นองเลือด พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน บลา ๆ ๆ
-หากสุวินัยได้อ่านเอกสารประวัติศาสตร์จริงจัง รวมทั้งบทบันทึกของบุคคลที่เกี่ยวข้องในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ก็จะตระหนักว่าเป้าหมายของการปฏิวัติ ๒๔๗๕ คือสถาปนาระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (constitutional monarchy) ขึ้นมา อันเป็นระบอบที่ดำรงอยู่ในทางหลักการนับแต่ ๒๔๗๕ เป็นต้นมา ไม่ใช่และไม่เคยเป็นการล้มล้างราชาธิปไตย
-อะไรคือความหมายของระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (constitutional monarchy) หรือ? หนังสืออ้างอิง 30-Second Politics (2012) อธิบายไว้ว่า:
"ระบอบราชาธิปไตยทั้งหลายในโลกสมัยใหม่ได้พัฒนาไปในทิศทางต่าง ๆ กัน ระบอบราชาธิปไตยในยุโรป (ยกเว้นนครวาติกัน) ได้กลายเป็นระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญที่ซึ่งองค์อธิปัตย์คงอำนาจประจำวันไว้เพียงน้อยนิด อำนาจในทางเป็นจริงของกษัตริย์หรือราชินีถูกจำกัดโดยกฎหมายและประเพณี ขณะที่อำนาจแท้จริงอยู่ที่นายกรัฐมนตรีซึ่งถูกเลือกจากรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง"
ในความหมายนี้ การปฏิวัติ ๒๔๗๕ โดยเนื้อแท้แล้วจึงเป็นการปฏิวัติเสรีนิยม (liberal revolution) เพื่อให้ได้มาซึ่งเสรีภาพแบบเสรีนิยม ดังที่ นอร์แบร์โต บ๊อบบิโอ อ้างอิงคำนิยามของ โกรเช นักปรัชญาการเมืองอิตาลีว่า:
"การแทนที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์โดยการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญ" (เสรีนิยมกับประชาธิปไตย, บทที่ ๑๐)
๒) การเปรียบเทียบธนาธรกับเสกสรรค์ในแง่เจตจำนงมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมน่ารับฟัง แต่ในทางกลับกัน การไม่พิจารณาความเป็นจริงทางภาววิสัยภายนอกและหนทางการผลักดันการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างยุคสมัยและสถานการณ์กัน ยึดเอาแต่ภาวะจิตเฉย ๆ ก็นับว่าขาดพร่อง หลุดลอยจากความเป็นจริง และอัตวิสัยมหัศจรรย์ (magical subjectivism) อย่างยิ่ง
การมีอำนาจและต่อรองในบริบทระบอบประชาธิปไตยรัฐสภาจากการเลือกตั้ง (ก็คือระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ) ย่อมแตกต่างจากการมีอำนาจและต่อรองในบริบทของสงครามปฏิวัติต่อระบอบเผด็จการทหารสมัยพุทธทศวรรษ ๒๕๑๐ ต่อ ๒๕๒๐ อย่างยิ่ง
การเปลี่ยนแปลงการเมืองในบริบทระบอบประชาธิปไตยรัฐสภาจากการเลือกตั้งแม้ว่าต้องอาศัยเจตจำนงที่มุ่งมั่นไม่แพ้กัน แต่วิถีทางคือการสร้าง "พรรคปฏิรูป" (reformist party) ขึ้น สร้างอำนาจต่อรองและผลักดันการเปลี่ยนแปลงผ่านการปฏิรูปอย่างยืนหยัดยาวนานทรหดอดทน เพื่อให้บรรลุผลการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวโดยไม่ต้องผ่านวิถีทาง "สงครามกลางเมือง" หรือ "เลือดนองแผ่นดิน" (Ralph Miliband, Marxism and Politics, Chapter VI Reform and Revolution)
ตรงกันข้าม ขอให้วิญญูชนทั้งหลายลองใช้สมองตรองคิดดู แทนที่จะมโนประวัติศาสตร์แบบไม่มีที่มาที่ไปว่า "สงครามกลางเมือง" หรือ "เลือดนองแผ่นดิน" เท่าที่เคยเกิดมาในสังคมการเมืองไทย มีต้นเหตุริเริ่มมาจากฝ่ายใดกันแน่? ฝ่ายเผด็จการหรือประชาธิปไตย? ฝ่ายปฏิกิริยาหรือปฏิรูป?
mindset แบบไหนกันที่หูหนาตาบอดต่อความเป็นจริงถึงเพียงนี้?
https://www.facebook.com/suvinaip/posts/2110570042313459
Suvinai Pornavalai
11 เมษายน เวลา 07:56 น.
Portrait ธนาธร : แกะรอยความคิดและความจริงในตัวธนาธร / สุวินัย ภรณวลัย
โดยส่วนตัวผมรู้จักคุณวรพจน์ พันธุ์พงศ์ คนสัมภาษณ์ธนาธรในหนังสือ " Portrait ธนาธร" มานานร่วมยี่สิบปี(ในฐานะที่ผมเคยถูกเขาสัมภาษณ์ไม่ต่ำกว่าสองครั้งในอดีต) เขาเป็นนักสัมภาษณ์มืออาชีพและมือหนึ่งระดับต้นๆที่หาคนทัดเทียมยากมากแม้ในยุคนี้
ผลงานหนังสือ " Portrait ธนาธร" (ตุลาคม 2018) คือเครื่องพิสูจน์อย่างดี เขาสัมภาษณ์ได้ดียิ่ง และธนาธรก็เต็มใจเปิดเผยความคิดของเขาแทบทุกเรื่องที่โดนซักถาม
นี่เป็นหนังสือสัมภาษณ์ที่เร้าใจที่สุดเล่มหนึ่งที่ผมเคยอ่านมา
ผมมีหนังสือเล่มนี้หลายเดือนแล้ว ก่อนทราบผลเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม 2562 ผมจงใจไม่อ่านมัน แต่เลือกอ่านหนังสือเล่มนี้ ในวันที่ธนาธรกำลังจะเจอบททดสอบของจริง ซึ่งเจ้าตัวก็รู้ดีว่าวันนั้นต้องมาถึงอย่างแน่นอน แต่ธนาธรคงคิดไม่ถึงว่ามันจะมาเร็วขนาดนี้
ธนาธรเป็นคนที่ชัดเจนมากในความคิดของตัวเอง เขาบอกว่า
"ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด เป้าหมายสูงสุดคือการเปลี่ยนประเทศ" (หน้า 270)
ธนาธรตระหนักดีว่า สิ่งที่เขาพูด เขาทำ มีคนฟัง มีคนเอาด้วย เห็นด้วยกับเขา (หน้า 272)
ธนาธรมองว่า คุณสมบัติสำคัญของผู้นำประเทศ คือต้องมีเจตจำนงทางการเมืองเป็นหลัก เมืองไทยมีคนเก่งกว่าเขาเยอะแยะไปหมด
แต่มีตัวเขาคนเดียวเท่านั้นที่มีเจตจำนงทางการเมืองที่ต้องการ "ให้ไทยออกจากวังวนของเผด็จการ วังวนของอำนาจนิยมที่รับใช้ชนชั้นนำให้ได้" (หน้า 273)
เจตจำนงทางการเมืองของธนาธรในวัยสี่สิบตอนนี้ มีความห้าวและอหังการในระดับเดียวกับเสกสรรค์ ประเสริฐกุลอดีตผู้นำนักศึกษาในวัยก่อนสามสิบหรือในช่วงระหว่างปี 2516-2523 ก็เห็นจะไม่ผิดนัก
ธนาธรไม่เคยมองว่าตำแหน่งนายกฯ คือ ลิมิตสูงสุดของตัวเขา
ธนาธรเป็นนักผจญภัย เขาต้องการท้าทายลิมิตสูงสุดของตัวเขาเองในทุกเรื่อง
ในฐานะผู้นำทางการเมือง ธนาธรมุ่งเป้าไปที่การทำให้ตัวเขา "มีอำนาจมากพอที่จะไปต่อรอง (กับ)××××"
(หน้า 277)
เขายอมรับว่าในการเคลื่อนไหวสร้างพรรคหาเสียง เขาพูดความจริงได้แค่ครึ่งเดียว ที่เขาพูดออกไปให้สังคมรับรู้ "ไม่เป็นความจริง มันเป็นความจริงแค่ครึ่งเดีบว เราถึงโดนฝ่ายก้าวหน้าด่า" (หน้า 277)
"ถามว่าเรารู้มั้ย รู้
เหี้ย มันก็รู้เหมือนกันหมดแหละ ปัญหาคือใครจะทำยังไง
เราคิดว่า วิธีการของเราคือต้องมีอำนาจและต่อรอง (กับ)××××
นี่ต่างหากคือเป้าหมาย ถ้าจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ เอาทหารออกจากการเมืองไม่ได้หรอก
จัดการเรื่องนี้ไม่ได้ จัดการเรื่องศาลไม่ได้หรอก
จัดการเหี้ยห่าอะไรไม่ได้
ถามว่าเรารู้มั้ย สิ่งที่เราพูดโดยไม่พูดเรื่องนี้ มะนไม่จริง มันเป็นไปไม่ได้
ถามว่ารู้มั้ย รู้ แต่มันพูดไม่ได้ ยังมีข้อจำกัด " (หน้า 277)
ตรงนี้แหละ คือ ความจริงอย่างที่สุดในความคิดและตัวตนของธนาธร เพราะเขาคือนักปฏิวัติที่มีเจตจำนงแรงกล้าที่ต้องการสานต่อภารกิจการปฏิวัติ 2475ให้สมบูรณ์
จึงไม่แปลกที่เมื่อธนาธรเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ปิยบุตรจึงต้องเป็นเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่เพราะมีอุดมการณ์ปฏิวัติ 2475 เหมือนกัน
ธนาธรคือผู้นำทางการเมืองคนเดียวในประทศนี้ตอนนี้ ที่ขีดเส้นแบ่งชัดเจนให้ประชาชนต้องตัดสินใจเลือกข้างว่าจะเลือกอยู่ฝั่งเดียวกับเขาแล้วช่วยกันผลักดันการปฏิวัติ 2475 ให้สำเร็จต่อไปหรือไม่
ผม (สุวินัย) ไม่ใช่คนโลกสวยและไร้เดียงสาทางการเมือง ผมตระหนักดีว่าอะไรจะตามมาถ้าธนาธรมีอำนาจและต่อรองกับ ×××× เพื่อบรรลุเจตจำนงทางการเมืองของเขา
ผมเลือกอยู่ฝั่งเดียวกับธนาธรไม่ได้จริงๆ ผมไม่อยากเห็นสงครามกลางเมืองและเลือดนองแผ่นดินหลังจากนี้
ผมก็อยากเห็นการเปลี่ยนประเทศนี้ แต่มันจะเปลี่ยนได้จริงก็ต่อเมื่อคนแต่ละคน แต่ละปัจเจกสามารถเปลี่ยนแปลงตนเองได้ด้วยพลังสติ พลังปัญญาและ mindset ที่เป็นบวกเท่านั้น
หาใช่การเปลี่ยนแปลงแบบมุ่งพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินอย่างที่ธนาธร และเหล่าสหายคิดแต่อย่างใดไม่
มันคือมิจฉาทิฐิ และเป็นทางเลือกแบบทุรโยชน์ ในภควัทคีตา มหาภาตะยุทธอย่างชัดเจน
ไม่ ....ไม่เด็ดขาด ไม่มีวันที่ผมจะเลือกแบบธนาธร
เพราะผมเลือกที่จะอยู่ข้างพระกฤษณะเสมอ เป็นคนของพระจ้าเสมอ ในภควัทคีตา มหาภารตะยุทธ
ผมต่างอย่างสิ้นเชิงกับธนาธรในเชิงวิถีและทางเลือก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี