สภาฯลงมติตามรายงาน กมธ.ต่อสัญญาสัมปทานทางด่วนแลกค่าโง่ทางด่วน แต่ไม่ต่อสัญญาบีทีเอส ด้าน‘นวัธ-ยุทธพงศ์’ เพื่อไทยอีสาน ซัดกันนัวปมมีผลประโยชน์ทับซ้อน
เมื่อวันที่ 5 กันยายน 25612 ที่รัฐสภา เกียกกาย มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) โดยมีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานในที่ประชุม โดยมีระเบียบวาระการประชุมคือ พิจารณารายงานศึกษาการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนและรถไฟฟ้า (บีทีเอส) ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญที่มีนายวีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานกมธ.ฯ พิจารณาแล้วเสร็จ
โดยนายวีระกร ชี้แจงว่า ผลการพิจารณาศึกษาเรื่องการขยายสัมปทานทางด่วน กรรมาธิการฯ ส่วนใหญ่เห็นว่าควรขยายเวลาสัมปทานทางด่วนเพื่อยุติข้อพิพาททั้งหมดระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ซึ่งจะไม่เกิดความเสี่ยงต่อปัญหาการแพ้คดีต่างๆ ที่เป็นข้อพิพาทในอนาคต
ข้อพิพาทระหว่างการทางพิเศษฯ กับ BEM เกิดจาก 2 คดีหลักคือ คดีการขอชดเชยรายได้ตามสัญญาสัมปทานทางด่วนเส้นบางประอิน – ปากเกร็ด ซึ่งเกิดจากการก่อสร้างดอนเมืองโทลเวย์ส่วนต่อขยาย จากอนุสรณ์สถาน–รังสิต ซึ่งเป็นทางที่มีลักษณะแข่งขัน และคดีขอชดเชยรายได้จากการไม่ปรับค่าผ่านทาง ซึ่งเมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2561 ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้การทางพิเศษฯ แพ้คดี ต้องจ่ายค่าปรับเป็นมูลค่า 4,318 ล้านบาท และข้อพิพาทอื่นๆ ก็มีลักษณะเดียวกันกับที่ศาลปกครองสูงสุดได้ตัดสินเป็นบรรทัดฐานให้การทางพิเศษฯแพ้คดีแล้ว ข้อพิพาทอื่นๆ หากการทางพิเศษฯ ไม่เจรจายุติข้อพิพาทจะมีโอกาสแพ้คดีสูง ซึ่งข้อพิพาททั้งหมดคิดเป็นมูลค่า 137,517 ล้านบาท หากแพ้คดีทุกคดีจะมีมูลค่าข้อพิพาทรวมดอกเบี้ยทั้งสิ้น 326,127 ล้านบาท ซึ่งอาจส่งผลต่อสภาวะทางการเงินของการทางพิเศษฯ ได้
นายวีระกร กล่าวด้วยว่า กรรมาธิการฯ เสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ที่จะให้กทม.ขยายสัญญาสัมปทานเดินรถไฟฟ้าบีทีเอส เนื่องจากสัญญาสัมปทานเส้นทางหลักยังเหลือเวลาอีกหลายปีจึงจะสิ้นสุดสัญญาสัมปททาน การหาผู้ประกอบการเดินรถรายใหม่สามารถทำได้ตามขั้นตอนกฎหมายปกติ และเมื่อสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในปี 2572 กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินทั้งหลายจะโอนกลับมาเป็นของรัฐ ซึ่งสามารถควบคุมราคาที่เป็นธรรมได้ ส่งผลให้คนใช้รถยนต์ส่วนตัวลดลง การจราจรในกทม.อาจจะดีขึ้น
ต่อมา ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง ได้แก่ น.พ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ระบุว่า ข้อสังเกตของกมธ.ฯ ที่ขัดแย้งและไม่เป็นเอกภาพ ทำให้อาจมีปัญหาต่อการส่งรายงานให้หน่วยงานไปปฏิบัติ ทั้งนี้หน่วยงานอาจรับข้อสังเกตได้ อย่างไรก็ตามในรายงานของกมธ.ฯ ไม่ได้ระบุถึงเหตุผลต่อการนำคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาล บุคคลที่กระทำผิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องการรู้ ขณะที่ข้อสังเกตของกมธ.ฯ และมีความเห็นส่วนบุคคลระบุไว้ เชื่อว่าไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้ และอาจจะถูกโยนทิ้งได้
“45 วันที่กมธ. ทำงาน ไม่บอกสิ่งที่อยากรู้ หากสภาฯ ให้ความเห็นรายงานฉบับนี้อาจถูกตีความการทำงานได้ แม้ว่ารายงานของสภาฯ จะไม่มีผลผูกมัดใดๆ ต่อหน่วยงาน สัญญาสัมปทานทางด่วน อนุมานว่าเสียงส่วนรวมควรต้องต่อ เพื่อไม่ให้แพ้คดี หลังจากที่มีคดีแรกมีคำตัดสินแล้ว ขณะที่การขยายสัญญาบีทีเอสไม่ควรต่อตสัญญา และมีความเห็นส่วนตัวของกมธ.ฯ ซึ่งที่ผ่านมารายงานของกมธ. ไม่เคยมีเขียนแบบดังกล่าว ผมขอฝากกมธ.ฯ ที่ต้องทำงานแทนสภาฯ ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีของสภาฯ ให้มาก ไม่ใช่ทำรายงานที่นำไปอ้างอิงใดๆ ไม่ได้ ทั้งนี้ผมขอให้นำรายงานกลับไปทบทวน” น.พ.ชลน่าน กล่าว
ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า รายงานของกรรมาธิการฯ เป็นความเห็นรายบุคคลของกรรมาธิการ ตนไม่เคยเห็นการจัดทำรายงานในลักษณะที่กรรมาธิการฯ ลงมติหรือให้ความเห็นเป็นรายบุคคลมาก่อน รายงานที่ถูกต้องตามข้อบังคับนั้นต้องแสดงถึงผลการศึกษาว่าจะนำข้อมูลและข้อเท็จจริงนำเสนออย่างไร ดังนั้น ขอให้กรรมาธิการฯ นำรายงานกลับไปทบทวนให้ตรงกับรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมสภาฯ ด้วย
ส่วน นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอให้นำรายงานกมธ.ฯ ทบทวนใหม่ เพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับ ซึ่งตนรู้สึกผิดหวังกับนายวีระกร ในฐานะประธานกมธ.ฯ ที่ทำรายงานออกมาเละเทะ เหมือนกล้วยถูกรถสิบล้อทับ หากกมธ.ฯ ไม่ถอนรายงานไปทบทวน และยืนยันให้สภาฯลงมติ ก็ขอให้กมธ.ฯ รับผิดชอบในผลที่จะเกิดขึ้นเอง หากเจ้าหน้าที่ทางด่วนนำรายงานดังกล่าวไปร้องต่อศาลว่ารายงานไม่ชอบมีการเรียกรับประโยชน์ รับเงินรับทองก็ขอให้กรรมาธิการรับผิดชอบเอง
ทั้งนี้นายวีระกร ชี้แจงว่าหนักใจ เพราะทั้ง 2 เรื่องไม่เกี่ยวข้องกัน แต่นำมาพิจารณาร่วมกัน และมีเวลาพิจารณาเพียง 45 วัน ยอมรับว่าความเห็นของกมธ.ฯมีความหลากหลาย และแตกแยกเป็นหลายประเด็น ดังนั้นผลการศึกษาและข้อสังเกตของกมธ.ฯ จึงมีลักษณะดังกล่าว เช่น การสนับสนุนให้ต่อสัญญาสัมปทานทางด่วน นั้นยังมีรายละเอียดที่เป็นข้อสังเกตซึ่งแตกต่างกัน ทั้งนี้ยืนยันว่ามีเหตุผลในรายละเอียดที่สมาชิกฯ สามารถศึกษาได้ ส่วนความเป็นมาของเรื่องที่ตรวจสอบและไม่ได้ระบุในรายงานยอมรับเป็นข้อนบกพร่อง ซึ่งตนขอความเห็นใจที่กมธ.ฯทำงานอย่างหนัก
ด้านนายยุทธพงษ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ฐานะกมธ.ฯ เสียงข้างมาก ชี้แจงว่า ความเห็นของกมธ.ฯที่ลงมติมีความเห็นที่ไม่ตรงกันและขัดแย้งกัน อย่างไรก็ตามการจัดทำรายงานเจ้าหน้าที่ที่มีประสบการณ์เป็นผู้จัดทำทั้งนี้ยืนยันกมธ.ฯ หวังดีต่อประเทศชาติ คำนึงผลประโยชน์ประชาชน ทั้งนี้ที่ ส.ส. กล่าวหาว่า กมธ.ฯรับเงิน ยืนยันไม่เป็นเรื่องจริง ทำงานตรงไปตรงมา และไม่กลัวเรื่องการดำเนินคดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการอภิปรายมีเหตุวุ่นวายเล็กน้อย หลังจากที่ นายนวัธ เตาะเจริญสุข ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่ามีข่าวลือกันนอกสภาฯว่า กมธ.ฯ มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องที่พิจารณา ทำให้นายยุทธพงศ์ ลุกขึ้นมาตอบโต้ทันควันไม่มีใครทำเพราะกรรมาธิการทำหน้าที่ตรงไปตรงมา
ทำให้นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่สอง ทักท้วงให้อภิปรายในกรอบและข้อบังคับ เนื่องจากไม่ควรกล่าวคำพูดที่ไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในสภาฯ และขอให้ถอนคำพูดว่าข่าวลือ จากนั้นให้นายยุทธพงษ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ฐานะกมธ.ฯ เสียงข้างมากชี้แจง ตนยืนยันไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องที่พิจารณา กมธ.ชุดนี้ไม่มีใครคดโกง และไม่มีใครพัวพันกับคดีฆ่าคนตาย ทั้งนี้ หากมีหลักฐานของให้ส่งเรื่องตรวจสอบตามกระบวนการ
จากนั้นที่ประชุมได้ลงมติ เห็นด้วยกับกรรมาธิการด้วยคะแนน 412 ต่อ 25 และงดออกเสียง 20 เสียง จากนั้นสภาก็จะส่งรายงานไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี