เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2562 นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) ให้สัมภาษณ์ ในรายการ News Talk ตัวจริงเสียงจริง ทางสถานีโทรทัศน์ NEWS1 ซึ่งถือเป็นการเปิดใจต่อสื่อมวลชนเป็นทางการครั้งแรก หลังจากได้รับพระราชทานอภัยโทษและออกจากเรือนจำตั้งแต่วันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา
โดยนายสนธิ กล่าวตอนหนึ่งถึงกรณีนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ(นปช.) อ้างว่าระหว่างอยู่ในเรือนจำได้พูดคุยกันหลายครั้ง และก็มีการเห็นชอบในแนวทางและแนวคิดในทางการเมือง ในการขับเคลื่อนงานการเมืองร่วมกันว่า นายจตุพรไม่ได้เจอตนในคุกหรอก เพราะนายจตุพรอยู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ แต่ตนอยู่เรือนจำคลองเปรม ได้ไปเจอนายจตุพรที่ศาลอาญาตอนขึ้นศาล ระหว่างที่อยู่ใต้ถุนศาลก็นั่งด้วยกัน จึงได้คุยกันยาว
"ผมคุยกับคุณตู่เฉยๆ ว่า เฮ้ย ตู่ สิ่งที่คุณสู้ กับสิ่งที่ผมสู้น่ะ ไม่ต่างกัน เพียงแต่ว่าคุณก้าวไม่ข้ามทักษิณ ชินวัตร นั่นข้อแรก ซึ่งผมไม่เห็นด้วย ข้อที่สอง พวกคุณเสื้อแดงไม่ได้แสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนเรื่องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์เลยแม้แต่นิดเดียว และมิหนำซ้ำ กลุ่มพวกคุณ ไม่ว่าจะเป็นจักรภพ เพ็ญแข ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่หนีอยู่ต่างประเทศ เป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับพวกคุณโดยตรง แล้วก็มีพฤติกรรมก้าวร้าว จาบจ้วง และมีเจตนารมณ์ที่ไม่ต้องการให้ประเทศไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าคุณตัดเรื่องทักษิณ ตัดเรื่องนี้ออกไป ผมถามว่าสิ่งที่คุณสู้กับสิ่งที่ผมสู้ หลักการไม่ได้ต่างกันเลย คุณสู้เพื่อความเป็นประชาธิปไตย คุณสู้เพื่อการกระจายอำนาจ คุณสู้โน่นสู้นี่ เหมือนกัน ผมก็เช่นกัน ผมสู้เพื่อความโปร่งใส สู้เพื่อการต่อต้านคอร์รัปชัน เราไม่ต่างอะไรกันเลย ต่างกันแค่ 2 ข้อนี้ นี่คือสิ่งที่ผมพูดกับเขา”นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ กล่าวเพิ่มเติมกรณีที่ประกาศเมื่อวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา ว่าต่อไปก็จะไม่ออกมาต่อสู้ทางถนนอีกแล้วว่า ตนต่อสู้บนถนนมาในฐานะแกนนำมวลชนตั้งแต่ปี 2548 ตั้งแต่การออกทีวีช่อง 9 เมืองไทยรายสัปดาห์ ตอนที่สู้กับทักษิณนั้น ไม่มีใครกล้าสู้เลย นายสุเทพก็ไม่กล้าสู้ อยู่แต่ในสภาฯ อาจจะมีข้อจำกัดที่เป็น ส.ส.
อุปมาอุปไมยเหมือนบ้านไฟดับ ผมคือสวิตช์ไฟใหญ่ พอผมสับสวิตช์ปั๊บ ไฟมันเปิดปุ๊บ ก็มีคนวิ่งเข้ามาเสียบปลั๊กโทรศัพท์มือถือ เสียบปลั๊กพัดลม คุณเข้าใจหรือเปล่า เสียบปลั๊กเครื่องปิ้งขนมปัง มีคนมาร่วมเยอะมาก มาร่วมโดยที่กลุ่มคนพวกนี้ไม่ชอบทักษิณ ไม่เห็นด้วยกับทักษิณ ไม่ชอบเสื้อแดง แต่ขาดคนที่จะนำหน้า เผอิญผมนำหน้าแล้วประชาชนเห็นว่าสิ่งที่ผมสู้นั้น และสิ่งที่ผมสู้ผมไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง เพราะผมไม่ใช่นักการเมือง ผมสู้เพราะผมทนไม่ได้กับการที่คุณทักษิณทำร้ายประเทศไทยหลายๆ กรณีและหลายๆ วิธี ก็เลยมีคนเข้ามาร่วมเยอะแยะไปหมดเลย
เมื่อมาถึงวันนี้คุณถามว่าตัดเสื้อวิวาห์ให้คนอื่นหรือเปล่า ก็อาจจะจริง เพราะผมจำได้ว่าวันที่เราชุมนุมที่สนามบิน แล้วศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคไปเรียบร้อยแล้ว และมีการตั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นในค่ายทหาร แล้วคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี คุมตำรวจ ผมก็ดีใจ คิดว่าอย่างน้อยที่สุดผมก็คิดว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ดีที่สุดในเวลานั้น ในเวลานั้นนะ
"แต่พอพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมามีอำนาจ สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำก็ไม่ได้ต่างจากพรรคเพื่อไทยที่ทำ ก็คือ แสวงหาอำนาจ เพิ่มเติมอำนาจ พยายามต่อยอดอำนาจ เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับคุณสุเทพทำ ก็ไม่ต่างกว่าพรรคเพื่อไทยทำ ไม่ได้ต่างกว่า คสช.ทำ ไม่ได้ต่างกว่า พล.อ.ประยุทธ์ นี่คือการเมือง และผมก็ผิดหวัง ผิดหวังตรงที่ว่าในระหว่างที่เราประท้วง หลายๆ ประเด็น เรื่องเขมร เรื่อง ปตท. พวกนี้ เขาเห็นด้วยกับเรา เมื่อเขาเห็นด้วยกับเรา แต่พอเขาขึ้นมาปั๊บ เขาเริ่มไม่เห็นด้วยกับเราแล้ว"นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ ยังกล่าวอีกว่า หลังจากพรรคประชาธิปัตย์สูญเสียอำนาจแล้ว รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเข้ามา จำได้ว่ามีผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์โทรศัพท์มาหา “แล้วบอกว่าคุณสนธิจะชุมนุมไหม จะให้ผมออกอีกไง แต่ผมรู้ทัน ผมตั้งเป้าไว้แล้วว่า กูจะไม่ให้มึงหลอกใช้กูอีก ผมก็เลยบอกยังงี้ว่า ผมก็เลยประกาศกับแกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งมีทั้งคุณจำลอง ศรีเมือง คุณพิภพ ธงไชย คุณปานเทพ ผมบอกกับปานเทพเป็นคนแรกว่า ผมอยากจะสลายแกนนำ คุณจำได้ไหม นั่นหละสัญชาตญาณผมบอกว่าไม่ได้ละ สลายดีกว่า
“มันก็เลยกลายเป็นการไฟต์บังคับให้คุณสุเทพต้องออก ส่วนคุณสุเทพจะไปแอบจับมือตกลงกับใคร ผมไม่รู้ แล้วหลังจากนั้นก็เลยเกิด กปปส. เมื่อเกิด กปปส.แล้ว ผมก็เห็นพันธมิตรฯ ที่จำนวนก็ไม่น้อย มีความรู้สึกว่าในเมื่อผมไม่ออกแล้ว คุณสุเทพออก ลุงสุเทพออก ก็เลยไปร่วมกับลุงสุเทพ เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่า มาสุดท้ายแล้วผมตัดสินใจว่า ผมไม่ตัดชุดวิวาห์ให้คนอื่นหรอก เพราะผมอยู่ในเรือนจำ ผมก็มัน ท่องตลอดเวลาว่า กูจะไม่ยอมให้ใครมาหลอกใช้กูอีกต่อไป”นายสนธิ กล่าวย้ำ
ส่วนกรณีกระแสเรียกร้องให้รัฐบาลออกกฎหมายนิรโทษกรรม ยกเว้นคดีทุจริต คดีอาญารุนแรง และความผิดต่อมาตรา 112 นายสนธิกล่าวว่า เห็นด้วยเพื่อให้เกิดการปรองดองที่แท้จริง การประชุมประท้วง ทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลือง กปปส. เป็นการแสดงออกทางการเมือง ถ้าอยากให้ชาติบ้านเมืองสงบ เราต้องกำจัดข้อสงสัยตรงนี้ออกไป ถ้าตัดเรื่อง ม. 112 เรื่องอาญารุนแรง แล้วก็ทุจริต การชุมนุมทางการเมืองพวกนี้ต้องนิรโทษกรรมให้หมด ถึงจะเริ่มนั่งคุยกันได้ สมัย คสช. ที่ พล.อ.ประวิตร เป็นประธานในการปรองดอง มันไม่สำเร็จ เอาคนไปนั่งคุยกัน มันก็นั่งฉีกยิ้ม แต่ในใจเขาไม่ยอมรับ ารปรองดองในยุค คสช.ต้องถือว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าจะสร้างภาพขนาดไหน แต่ผลที่ออกมาเป็นข้อเท็จจริงที่เห็นได้ชัด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี