เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2562 นายไทกร พลสุวรรณ อดีตแกนนำกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กวิเคราะห์สถานการณ์สนามเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ในหัวข้อ"คิดผิด คิดใหม้ได้" โดยมีเนื้อหาระบุว่า  การวางกลยุทธ์ในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯกรุงเทพฯนั้น ผู้สมัครตัวเต็งที่วางกลยุทธ์แยกตัวออกมาจากพรรคการเมืองต้นสังกัด เพื่อหวังจะดึงคะแนนเสียงจากคนกลางๆ ที่ไม่ชอบพรรคการเมืองใด มาเป็นคะแนนเสริมรวมกับคะแนนของพรรคที่ตนเองเคยสังกัด

คะแนนนิยมตัวบุคคล+คะแนนนิยมของพรรค

คนที่ประสบความสำเร็จตามกลยุทธ์นี้ คือ นายพิจิตต รัตตกุล ที่ลงในนามอิสระและพรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่งผู้สมัครลงแข่ง ส่วนกรณีท่านสมัคร สุนทรเวช เป็นกรณียกเว้นในกลยุทธ์นี้ เพราะท่านสมัครเป็นบุคคลทางการเมืองที่สำคัญที่สุด ที่ชาวกรุงเทพฯให้ความนิยมสูงและผูกพันกับชาวกรุงเทพฯมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี 2518 จนถึงวันที่ท่านสมัครเป็นผู้ว่าฯ กทม. ชาวกรุงเทพฯอยากลองให้ท่านสมัครเป็นผู้ว่าฯ กทม. สักครั้ง

หลังยุคผู้ว่าฯ สมัคร การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย

(1) ฝ่ายทักษิณ(เพื่อไทย)

(2) ฝ่ายไม่เอาทักษิณ(ประชาธิปัตย์)

"ไม่เลือกเรา เขามาแน่"จึงถูกนำมาโฆษณาชวนเชื่อทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เครือข่ายการเมืองของทักษิณ กินรวบ ทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ประชาธิปัตย์ฝ่ายค้านในยุคนั้นจึงยึดครองตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. มาอย่างยาวนาน จนกระทั่งเกิดรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 วันนี้ สถานการณ์กลับตาลปัตร

เมื่อแชมป์อย่างประชาธิปัตย์ ถูกจัดไปอยู่ในกลุ่มการสืบทอดอำนาจของพลเอกประยุทธ์

ไม่เลือกเรา เขามาแน่ กลายเป็นหอกที่ทิ่มแทงย้อนกลับไปที่เครือข่ายการเมืองของพลเอกประยุทธ์

อย่าให้ฝ่ายประยุทธ์กินรวบ..!

การเมืองระดับชาติมีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจเลือก ผู้ว่าฯ กทม.

อย่าลืมความจริงข้อนี้

อย่าโลกสวย..!

สถานการณ์นี้พรรคมีความสำคัญมากกว่าบุคคล

กลยุทธ์ลงสมัครอิสระของตัวเต็ง จะได้ผลก็ต่อเมื่อ พรรคการเมืองต้นสังกัดเดิมไม่ส่งผู้สมัครลงแข่ง

ชัชชาติจะได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. สมดังตั้งใจไว้ เพื่อไทยต้องไม่ส่งผู้สมัครลงแข่ง

หากเพื่อไทยส่งผู้สมัครลงแข่ง

อนาคตใหม่ส่งผู้สมัครลงแข่ง

ชัชชาติฝันสลาย...!