วันนี้ (12 พฤศจิกายน 2562) เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุมอรพิม ชั้น 2 อาคารบริการวิชาการและบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ต.หนองบัว อ.เมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2562 สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างประกาศคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เรื่อง การจัดทำประมาณการรายได้ การกำหนดและการชำระราคาอ้อยและค่าผลิตน้ำตาลทราย และอัตราส่วนของผลตอบแทนระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงาน
พ.ศ. .... และร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการยกเลิกระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจัดเก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักรเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2561 พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เรื่อง การจัดทำประมาณการรายได้ การกำหนดและการชำระราคาอ้อยและค่าผลิตน้ำตาลทราย และอัตราส่วนของผลตอบแทนระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงาน พ.ศ. .... และร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการยกเลิกระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจัดเก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักรเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2561 พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ร่างประกาศคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เรื่อง การจัดทำประมาณการรายได้ การกำหนดและการชำระราคาอ้อยและค่าผลิตน้ำตาลทราย และอัตราส่วนของผลตอบแทนระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้
ประเด็น |
สาระสำคัญ |
1. ยกเลิกบทนิยาม |
ยกเลิกบทนิยามคำว่า “พรีเมียมน้ำตาลทรายไทย” และ “คณะกรรมการกำหนดราคาขาย” เนื่องจากไม่ใช้อ้างอิงใน การคำนวณราคาน้ำตาลทรายในราชอาณาจักรแล้ว |
2. แก้ไขปริมาณและราคาน้ำตาลทรายภายในประเทศที่จะใช้ในการคำนวณรายได้ของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย |
- ปริมาณน้ำตาลทรายในประเทศ เดิม ใช้ปริมาณน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักรที่จำหน่ายจริงของฤดูการผลิตที่แล้ว แก้ไขเป็น ใช้ปริมาณน้ำตาลทรายขั้นต้นที่มีการแบ่งตามสัดส่วนผลผลิตน้ำตาลทรายของทุกโรงงานที่คณะกรรมการน้ำตาลทรายกำหนด - ราคาน้ำตาลทรายภายในประเทศ เดิม ใช้ราคาน้ำตาลทรายขาวตลาดลอนดอนหมายเลข 5 บวกพรีเมี่ยมน้ำตาลทรายไทย แก้ไขเป็น ใช้ราคาเฉลี่ยของราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายในราชอาณาจักรที่สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายประกาศในต้นฤดูการผลิตนั้น |
3. บทเฉพาะกาล |
แก้ไขบทเฉพาะกาลโดยกำหนดให้เฉพาะฤดูการผลิตปี 2561/2562 ให้นำหลักเกณฑ์ตามประกาศคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เรื่อง การจัดทำประมาณการรายได้ การกำหนดและการชำระราคาอ้อยและค่าผลิตน้ำตาลทราย และอัตราส่วนของผลตอบแทนระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงาน พ.ศ. 2561 มาใช้ในการคำนวณราคาอ้อยและผลตอบแทนการผลิตขั้นสุดท้าย |
2. ร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการยกเลิกระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจัดเก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักรเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2561 พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายว่าด้วยการจัดเก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักรเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2561
2. เรื่อง ร่างอนุบัญญัติออกตามความในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 รวม 3 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง รวม 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการแสดงรายละเอียดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอันเป็นสาระสำคัญที่ใช้เป็นพื้นฐานในการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน และการพิจารณาตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนของกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. ....
2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอข้อเท็จจริงและความเห็นรวมทั้งสิทธิการดำเนินการเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียและผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน และการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน พ.ศ. ....
3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการพิจารณาเหตุอันควรหรือเหตุผลทางเศรษฐกิจ การบั่นทอนผลการใช้บังคับมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน และหลักฐานการทุ่มตลาดหรือการได้รับการอุดหนุน พ.ศ. ....
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1) ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 1.
1.1) ให้ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. 2542
1.2) กำหนดให้เมื่อคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนมีคำวินิจฉัยในเรื่องต่าง ๆ เช่น คำวินิจฉัยให้ใช้มาตรการชั่วคราว คำวินิจฉัยให้เรียกเก็บหรือไม่ให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน หรือให้ยุติหรือเปลี่ยนแปลงการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน คำวินิจฉัยเกี่ยวกับการยอมรับข้อเสนอทำความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน ให้กรมการค้าต่างประเทศออกประกาศกรมการค้าต่างประเทศ แสดงรายละเอียดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ใช้เป็นพื้นฐานการพิจารณาผลการไต่สวน และกำหนดรายละเอียดที่ต้องปรากฏในประกาศกรมฯ สำหรับคำวินิจฉัยแต่ละประเภท
1.3) กำหนดให้การแสดงรายละเอียดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายต้องไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่ต้องปกปิดตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. 2542 (ข้อมูลข่าวสารที่มีสาระและเนื้อหาหรือผู้ให้ข้อมูลข่าวสารนั้นขอให้ปกปิด)
1.4) ให้กรมการค้าต่างประเทศจัดส่งประกาศให้ผู้มีส่วนได้เสียและผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย
2) ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 2.
2.1) ให้ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติ การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. 2542
2.2) กำหนดให้การเสนอข้อเท็จจริงและความเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหาย ไต่สวนการอุดหนุนและความเสียหาย หรือไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
2.3) กำหนดให้ในระหว่างการไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหาย ไต่สวนการอุดหนุนและความเสียหาย หรือการไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ให้ผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้ที่เกี่ยวข้องมีสิทธิดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น ร้องขอให้มีการประชุมร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง นำเสนอข้อมูลอื่นนอกเหนือจากข้อมูลที่ได้เสนอไว้แล้วในการประชุมร่วมกันด้วยวาจา ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้ที่เกี่ยวข้องนั้นได้
2.4) ให้กรมการค้าต่างประเทศดำเนินการให้ตามที่มีการร้องขอโดยคำนึงถึงความจำเป็นในการรักษาความลับและความสะดวกของทุกฝ่าย
2.5) กำหนดให้ผู้มีส่วนได้เสียฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือผู้ที่เกี่ยวข้องฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะไม่เข้าร่วมประชุมก็ได้ และการไม่เข้าร่วมประชุมนั้นไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อผู้นั้นในการไต่สวน
2.6) กำหนดให้ความคิดเห็นและข้อโต้แย้งและข้อมูลที่เสนอเพิ่มเติมของผู้ร้องขอให้มีการประชุมร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้ที่เกี่ยวข้องจะนำมาใช้ในการไต่สวนได้ เมื่อผู้นำเสนอข้อมูลได้จัดทำเป็นลายลักษณ์อักษรและส่งให้กรมการค้าต่างประเทศภายในระยะเวลาที่กำหนด และจัดไว้ให้ผู้มีส่วนได้เสียฝ่ายอื่นแล้ว
3) ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 3.
3.1) กำหนดให้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนให้พิจารณา เหตุอันควรหรือเหตุผลทางเศรษฐกิจ โดยให้พิจารณาจากความคุ้มค่าทางธุรกิจในการดำเนินการ หรือการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทาน ทั้งนี้ คณะกรรมการจะพิจารณาจากปัจจัยอื่นเพิ่มเติมตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏเป็นรายกรณีก็ได้
3.2) กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ที่มีผลเป็นการบั่นทอนผลการใช้บังคับมาตรการตอบโต้ในด้านของราคาหรือปริมาณ โดยให้อาศัยหลักฐานสนับสนุนและตรวจสอบข้อมูล
3.3) กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาหลักฐานการทุ่มตลาดกรณีการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด
3.4) กำหนดให้การพิจารณาหลักฐานการได้รับการอุดหนุนกรณีการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การอุดหนุน ให้ผู้ผลิตในต่างประเทศหรือผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ประกอบสินค้าที่ถูกกล่าวหาว่า หลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้เป็นผู้พิสูจน์ว่า การได้รับประโยชน์จากการอุดหนุนสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้สิ้นสุดลงแล้ว หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ให้ถือว่ามีหลักฐานการได้รับการอุดหนุน
3.5) กำหนดให้การพิจารณาองค์ประกอบของการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนให้ใช้ข้อมูลย้อนหลังได้ไม่เกินกว่า 3 ปี ก่อนวันประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนครั้งแรก
3. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้สินค้าที่ใช้ได้สองทางเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาต และกำหนดสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้สินค้าที่ใช้ได้สองทางเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาต และกำหนดสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
พณ. เสนอว่า
1. ได้มีประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้สินค้าที่ใช้ได้สองทางเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาต และกำหนดสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. 2558 ลงวันที่ 22 กันยายน 2558 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 อันเป็นการแสดงเจตนารมณ์ที่ประเทศไทยในฐานะที่เป็นประเทศสมาชิกสหประชาชาติได้ปฏิบัติตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 1540 เพื่อควบคุมการส่งออก การถ่ายลำและการผ่านแดนสินค้าที่ใช้ได้สองทางในเบื้องต้นก่อน โดยประกาศดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 และต่อมาได้มีประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2560 และประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2561 ลงวันที่ 21 ธันวาคม 2561 เพื่อเลื่อนวันบังคับใช้ของประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ฉบับแรก เป็นวันที่ 1 มกราคม 2562 และวันที่ 1 มกราคม 2563 ตามลำดับ
2. ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. 2562 ซึ่งจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป โดยที่พระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นกฎหมายควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ซึ่งอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงดังกล่าวรวมถึงสินค้าที่ใช้ได้สองทางด้วย ดังนั้น เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการควบคุมสินค้าที่ใช้ได้สองทาง และเพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการเกิดความสับสนในการใช้บังคับกฎหมาย จึงสมควรยกเลิกประกาศ รวม 3 ฉบับ ตามข้อ 1.
สาระสำคัญของร่างประกาศ
เป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้สินค้าที่ใช้ได้สองทางเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาต และกำหนดสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. 2558 ลงวันที่ 22 กันยายน 2558 ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้สินค้าที่ใช้ได้สองทางเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาต และกำหนดสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2560 และประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้สินค้าที่ใช้ได้สองทางเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาต และกำหนดสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2561 ลงวันที่ 21 ธันวาคม 2561
4. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างประกาศ
ประเด็น |
รายละเอียด |
1. กำหนดวันใช้บังคับ |
ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป |
2. กำหนดประเภทรถแทรกเตอร์ใช้แล้วทางการเกษตรสามารถนำเข้ามาในราชอาณาจักร |
(1) รถแทรกเตอร์ตีนตะขาบล้อยาง พิกัดอัตราศุลกากร 8701.30.00.000 (2) รถแทรกเตอร์ล้อยางกำลังเครื่องยนต์ไม่เกิน 18 กิโลวัตต์ พิกัดอัตราศุลกากร 8701.91.10.000 (3) รถแทรกเตอร์ล้อยางกำลังเครื่องยนต์ 19 – 37 กิโลวัตต์ พิกัดอัตราศุลกากร 8701.92.10.000 (4) รถแทรกเตอร์ล้อยางกำลังเครื่องยนต์ 38 – 75 กิโลวัตต์ พิกัดอัตราศุลกากร 8701.93.10.000 (5) รถแทรกเตอร์ล้อยางกำลังเครื่องยนต์ 76 – 130 กิโลวัตต์ พิกัดอัตราศุลกากร 8701.94.10.000 (6) รถแทรกเตอร์ล้อยางกำลังเกินเครื่องยนต์เกิน 130 กิโลวัตต์ พิกัดอัตราศุลกากร 8701.95.10.000 |
เศรษฐกิจ-สังคม
5. เรื่อง กลไกการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติก
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบกลไกการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติกในห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต และ ร้านสะดวกซื้อ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป เพื่อเป็นนโยบายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการดำเนินงานเพื่อลดและเลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single – Use Plastic) ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้ Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561 – 2573
2. มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการดำเนินงาน ดังนี้
2.1 มอบหมายให้สำนักนายกรัฐมนตรี โดยกรมประชาสัมพันธ์ ทส. โดยกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด และสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค และกระทรวงมหาดไทย (มท.) โดยผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมมือกับภาคเอกชนในการรณรงค์และประชาสัมพันธ์การสร้างการรับรู้ และความเข้าใจมาตรการดังกล่าวกับผู้บริโภคและผู้ประกอบการ
2.2 มอบหมายให้ ทส. โดยกรมควบคุมมลพิษ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายภาคเอกชน 43 ราย พิจารณากำหนดแนวทางและวิธีการปฏิบัติสำหรับมาตรการงดให้ถุงพลาสติก
3. ให้ ทส. โดยกรมควบคุมมลพิษและกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานในการติดตามผลและรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ
สาระสำคัญของเรื่อง
ทส. รายงานว่า
1. ทส. โดยกรมควบคุมมลพิษ ร่วมกับกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม จัดประชุมการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติกเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2562 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุม มีผู้เข้าร่วมประชุมมากกว่า 250 คน เป็นผู้แทนจากศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ ภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบกลไกการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติก ทั้งนี้ กรมควบคุมมลพิษได้นำเสนอกลไกการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติกดังกล่าวต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2562 โดยที่ประชุมมีมติรับทราบและเห็นชอบกลไกการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติก พร้อมทั้งให้ ทส. นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
2. กลไกการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติกมีสาระสำคัญ ดังนี้
2.1 ทส. โดยกรมควบคุมมลพิษและกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมประชุมหารือร่วมกับภาคีเครือข่าย 43 ราย เพื่อกำหนดแนวทาง วิธีการปฏิบัติที่ชัดเจนสำหรับมาตรการงดให้ถุงพลาสติก โดยแนวทาง วิธีการที่จะดำเนินการขึ้นอยู่กับห้างร้านที่จะพิจารณาเลือกแนวทางวิธีการที่เหมาะสม แต่ต้องเป็นไปตามหลักการงดให้ถุงพลาสติก รวมทั้งการกำหนดวิธีการปฏิบัติผ่อนผัน การรองรับที่ชัดเจนสำหรับภาชนะหรือถุงบรรจุของร้อน อาหารเปียก เนื้อสัตว์ และผลไม้
2.2 การสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับผู้บริโภคและผู้ประกอบการ
2.2.1 ให้กรมประชาสัมพันธ์ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนภาคเอกชนร่วมกันรณรงค์และประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับผู้บริโภคและผู้ประกอบการในช่วง 4 เดือนก่อนหยุดให้ถุงพลาสติกในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และพื้นที่ 76 จังหวัด ทั่วประเทศ
2.2.2 สำหรับผู้ประกอบการห้างอื่น ๆ (นอกเหนือจาก 43 ราย) รวมทั้งร้านขายของชำและตลาดสด ให้กรมประชาสัมพันธ์ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และภาคเอกชน ร่วมกันรณรงค์และประชาสัมพันธ์ รวมทั้งจัดส่งข้อมูลแนวทางการประชาสัมพันธ์ให้กับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดและสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค เพื่อร่วมกับภาคเอกชนในจังหวัดร่วมประชาสัมพันธ์ระหว่างเดือนมกราคม-ธันวาคม 2563
2.3 ทส. โดยกรมควบคุมมลพิษและกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจและรับฟังความคิดเห็นจากผู้ว่าราชการจังหวัด ในการดำเนินมาตรการงดให้ถุงพลาสติกในห้างอื่น ๆ รวมทั้งร้านขายของชำและตลาดสดในพื้นที่ในลักษณะ Road – show ใน 4 ภูมิภาค คือ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ เพื่อนำไปเป็นข้อมูลประกอบการยก (ร่าง) พระราชบัญญัติการจัดการขยะพลาสติกโดยกำหนดเป้าหมายให้ถุงพลาสติกหูหิ้วหมดไปจากท้องตลาด ในวันที่ 1 มกราคม 2564
2.4 ทส. โดยกรมควบคุมมลพิษประชุมหารือร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมพลาสติกไทย สถาบันพลาสติก และกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อหาแนวทางการใช้วัสดุทดแทนพลาสติกและส่งเสริมการนำพลาสติกกลับมาใช้ประโยชน์เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้สำหรับกระบวนการ Pyrolysis ในการหลอมขยะพลาสติกให้เป็นน้ำมัน และนำน้ำมันมาผลิตเม็ดพลาสติก (พลาสติกมีส่วนประกอบหลักทางเคมีเหมือนกับน้ำมัน ดังนั้น ถ้าหากนำพลาสติกไปเผาแล้วกลั่นแยกส่วนจะได้ผลผลิตเป็นน้ำมัน แต่ ณ ตอนนี้ยังไม่คุ้มค่ากับการลงทุนเนื่องจากน้ำมันมีราคาถูก จึงเป็นการศึกษาเพื่อพิจารณาทางเลือก)
2.5 ทส. โดยกรมควบคุมมลพิษเร่งจัดทำกฎหมายเพื่อใช้ในการบริหารจัดการขยะพลาสติก โดยการทบทวน ปรับปรุง (ร่าง) พระราชบัญญัติส่งเสริมการลดและนำของเสียมาใช้ประโยชน์ พ.ศ. .... เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
2.6 ผลที่คาดว่าจะได้รับ คือ ปริมาณขยะถุงพลาสติกหูหิ้วลดลง 45,000 ล้านใบต่อปี ส่งผลให้ปริมาณขยะที่ต้องนำไปกำจัดลดลง 225,000 ตันต่อปี และหน่วยงานภาครัฐประหยัดงบประมาณในการจัดการขยะมูลฝอยได้ 340 ล้านบาทต่อปี รวมทั้งประหยัดพื้นที่รองรับและกำจัดขยะมูลฝอยในการฝังกลบได้ประมาณ 616 ไร่
2.7 ดำเนินการมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการดำเนินการ
6. เรื่อง การเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางและขั้นตอนการเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตามที่สำนักงบประมาณ (สงป.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
สงป. รายงานว่า ตามที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ในวาระที่ 1 เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2562 และได้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 นั้น โดยที่หากการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้วเสร็จ จะปรับลดงบประมาณรายจ่ายลงได้จำนวนหนึ่ง สงป. จึงจำเป็นต้องกำหนด แนวทางการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายตามที่คาดว่าจะมีการปรับลดงบประมาณลงได้ ในครั้งนี้ สงป. จึงเสนอแนวทางและขั้นตอนการเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ดังนี้
1. แนวทางการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยให้หน่วยรับงบประมาณเสนอคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เฉพาะรายการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนอย่างแท้จริง และสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ ดังนี้
1.1 เป็นรายจ่ายที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 แผนการปฏิรูปประเทศ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ และนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ต้องดำเนินการภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
1.2 เป็นรายจ่ายที่ต้องดำเนินการตามข้อผูกพัน รายจ่ายเพื่อการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศ สังคม รายจ่ายเพื่อป้องกันหรือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน หรือเป็นรายจ่ายที่ประชาชนได้รับประโยชน์โดยตรง ตลอดจนรายจ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาการปฏิบัติงานของหน่วยรับงบประมาณ
1.3 เป็นรายจ่ายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายอันเนื่องมาจากเหตุภัยพิบัติภัยธรรมชาติ ในพื้นที่ที่ได้รับการประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย หรือประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน หรือพื้นที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งที่ผ่านการพิจารณาจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติแล้ว
ทั้งนี้ แนวทางการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ดังกล่าวข้างต้น มีเงื่อนไขดังนี้
(1) รายการที่เสนอขอเพิ่มงบประมาณต้องเป็นรายการที่มีอยู่ในคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (9 สิงหาคม 2562) ยกเว้นรายจ่ายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเสียหาย อันเนื่องมาจากเหตุภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ ในข้อ 1.3
(2) ไม่ควรทำให้เกิดภาระรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
(3) ไม่ควรผูกพันงบประมาณรายจ่ายข้ามปีในปีต่อ ๆ ไป
(4) หน่วยรับงบประมาณมีศักยภาพและมีความพร้อมที่จะดำเนินการได้ทันที
(5) หน่วยรับงบประมาณต้องเสนอโครงการ/รายการ ภายใต้ขอบเขตอำนาจหน้าที่ ตามกฎหมายของหน่วยงานนั้น ๆ
(6) ดำเนินการตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561
2. แนวทางการเสนอขอเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายเฉพาะหน่วยรับงบประมาณที่เสนอขอตั้งงบประมาณไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และกรณีที่มีการโอนภารกิจของหน่วยรับงบประมาณ ดังนี้
2.1 มีกฎหมายกำหนดให้โอนภารกิจทั้งกรณีที่มีการจัดตั้งหน่วยรับงบประมาณขึ้นใหม่และไม่มีการจัดตั้งหน่วยรับงบประมาณ
2.2 มีพระราชกฤษฎีการวมหรือโอนส่วนราชการเข้าด้วยกันตามนัยมาตรา 8 ทวิ ของพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
2.3 มีการโอนภารกิจการให้บริการสาธารณะให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดตามแผนกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ทั้งนี้ ให้หน่วยรับงบประมาณดำเนินการ ดังนี้
(1) ให้หน่วยรับงบประมาณที่ถูกโอนภารกิจเสนอขอปรับลดงบประมาณเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับภารกิจที่จะต้องโอน
(2) ให้หน่วยรับงบประมาณที่รับโอนภารกิจ เสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตามวงเงินงบประมาณรายจ่ายที่ได้ปรับลดตามข้อ (1)
3. ขั้นตอนในการเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของหน่วยรับงบประมาณ
3.1 ให้หน่วยรับงบประมาณจัดทำคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่ได้ตรวจสอบและรับรองข้อมูลแล้วว่าการดำเนินงานนั้นไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมายหรือระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และให้เสนอขอรับความเห็นชอบต่อนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับ หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด และรวบรวมจัดส่งให้ สงป. พร้อมทั้งบันทึกข้อมูลรายละเอียดคำขอเพิ่มงบประมาณในระบบ e – Budgeting ภายในวันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2562
สำหรับกรณีการเสนอขอเพิ่มงบประมาณตามแผนงานบูรณาการ ให้เสนอหน่วยงานเจ้าภาพเพื่อรวบรวมเสนอรองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบแผนงานบูรณาการนั้น ๆ พิจารณาให้ความเห็นชอบและส่ง สงป. พร้อมทั้งบันทึกข้อมูลรายละเอียดคำขอเพิ่มงบประมาณในระบบ e – Budgeting ภายในวันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2562
ทั้งนี้ สำหรับกรณีการเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่ได้มีการตรวจสอบและรับรองข้อมูลแล้วว่า การดำเนินงานนั้นไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมาย หรือระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และให้เสนอขอรับความเห็นชอบต่อนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับ หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด และรวบรวมจัดส่งให้ สงป. ภายในวันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2562
3.2 สำหรับหน่วยงานของรัฐสภา หน่วยงานของศาล และหน่วยงานขององค์กรอิสระและองค์กรอัยการ ให้ยื่นคำขอแปรญัตติต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยตรง ภายในวันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2562 เพื่อที่ สงป. จะได้ประมวลผลภาพรวมการขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ต่อไป
3.3 ให้ สงป. พิจารณาคำขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และจัดทำข้อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในวันพุธที่ 11 ธันวาคม 2562 เพื่อนำเสนอคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตามขั้นตอนต่อไป
7. เรื่อง รณรงค์ใช้ผลิตภัณฑ์ OTOP ผลิตภัณฑ์จากมูลนิธิโครงการหลวง และผลิตภัณฑ์จากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นของชวัญ ของที่ระลึกเทศกาลปีใหม่ 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอรณรงค์ใช้ผลิตภัณฑ์ OTOP ผลิตภัณฑ์จากมูลนิธิโครงการหลวง และผลิตภัณฑ์จากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นของขวัญ ของที่ระลึกเทศกาลปีใหม่ 2563 โดยขอความร่วมมือให้ภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ เอกชน และประชาชนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เพื่อสร้างช่องทางการตลาดให้มากขึ้นและเพิ่มรายได้แก่ประชาชนในบนบท และเพื่อเป็นการส่งความสุขในเทศกาลปีใหม่ 2563
สาระสำคัญของเรื่อง
2. มูลนิธิโครงการหลวง เป็นโครงการส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนชาวไทยภูเขาที่เป็นคนยากไร้ให้มีอาชีพ มีรายได้และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยผลิตภัณฑ์จากมูลนิธิโครงการหลวง ได้แก่ ผัก สมุนไพร เห็ด ชา กาแฟ ถั่วและธัญพืช ผลไม้ ดอกไม้เมืองหนาว ผลิตผลปศุสัตว์ ผลิตผลประมง ผลิตผลป่าไม้ ดอกไม้แห้งและผลิตภัณฑ์ แปรรูปในชื่อการค้า โครงการหลวง และดอยคำ
3. มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จัดตั้งขึ้นโดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อช่วยเหลือราษฎรในชนบทให้มีอาชีพเสริมและเพิ่มรายได้ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาความยากจนในชนบท โดยเฉพาะราษฎรที่ประสบปัญหาในการเพาะปลูก หรือที่ว่างจากฤดูเพาะปลูกให้ได้มีงานทำ ทำให้ไม่ต้องละทิ้งถิ่นฐานของตนเข้าไปทำงานรับจ้างในเมือง โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการส่งเสริมจากมูลนิธิ ได้แก่ งานผ้า งานไม้ งานจักสาน งานเซรามิก ดอกไม้ประดิษฐ์ ผลิตภัณฑ์จากโครงการฟาร์มตัวอย่าง และเบ็ดเตล็ด อาทิ สมุดบันทึก กล่องผ้าไหม เป็นต้น
4. เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เป็นช่วงเวลาในการส่งมอบความสุขด้วยการมอบของขวัญของที่ระลึก ซึ่งในการเลือกซื้อของขวัญ หากสนับสนุนผลิตภัณฑ์ตามข้อ 1-3 ทำให้เกิดการกระจายรายได้และส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจในระดับฐานราก
8. เรื่อง มาตรการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ “ชิมช้อปใช้”
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการดำเนินมาตรการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ “ชิมช้อปใช้”
ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้
กค. รายงานว่า
เนื่องจากมาตรการส่งเสริม “ชิมช้อปใช้” (มาตรการส่งเสริมฯ) และมาตรการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ “ชิมช้อปใช้” (มาตรการส่งเสริมการบริโภคฯ) ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ดังนั้น เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง จึงมีความจำเป็นต้องขยายการดำเนินมาตรการและปรับปรุงวิธีดำเนินมาตรการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพื่อให้มาตรการส่งเสริมฯ และมาตรการส่งเสริมการบริโภคฯ ที่จะสิ้นสุดระยะเวลาการดำเนินมาตรการในวันที่ 31 ธันวาคม 2562 มีความต่อเนื่อง กระทรวงการคลังจึงเสนอการขยายการดำเนินมาตรการและปรับปรุงวิธีดำเนินมาตรการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สาระสำคัญ
1. มาตรการส่งเสริมฯ และมาตรการส่งเสริมการบริโภคฯ เป็นการให้สิทธิประโยชน์แก่ประชาชนสัญชาติไทยที่มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปในวันลงทะเบียน และมีบัตรประจำตัวประชาชนรวมจำนวนไม่เกิน 13 ล้านคน (มาตรการส่งเสริมฯ ไม่เกิน 10 ล้านคน และมาตรการส่งเสริมการบริโภคฯ ไม่เกิน 3 ล้านคน) โดยผู้ลงทะเบียนจะได้รับสิทธิประโยชน์เพื่อการใช้จ่ายในจังหวัดที่เลือกที่ไม่ใช่จังหวัดตามทะเบียนบ้าน ผ่านระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ของภาครัฐ (g-Wallet) ดังนี้
1.1 รัฐบาลสนับสนุนวงเงินสำหรับ g-Wallet ในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง ช่อง 1” (g-Wallet ช่อง 1) จำนวน 1,000 บาทต่อคน เพื่อเป็นสิทธิ์ในการซื้อสินค้าและบริการในจังหวัดที่เลือกไว้เมื่อตอนลงทะเบียนกับผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กรมบัญชีกลางกำหนด และติดตั้งแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน”
1.2 กรณีที่ผู้ลงทะเบียนเติมเงินเข้าบัญชี g-Wallet ในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง ช่อง 2” (g-Wallet ช่อง 2 ) เพื่อใช้จ่ายค่าอาหารและเครื่องดื่ม ค่าที่พัก รวมถึงบริการต่าง ๆ ตามปกติของที่พักนั้น ค่าซื้อสินค้าท้องถิ่น ค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าประชารัฐ หรือค่าบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการเดินทางในท้องถิ่นนั้น เช่น สปา การเช่าพาหนะ ค่าบริการนำเที่ยวในพื้นที่ เป็นต้น ในจังหวัดที่ไม่ใช่จังหวัดตามทะเบียนบ้าน กับผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กรมบัญชีกลางกำหนด และติดตั้งแอพพลิเคชัน “ถุงเงิน” รัฐบาลจะสนับสนุนเงินชดเชยเข้าบัญชี g-Wallet ช่อง 2 ดังนี้
ทั้งนี้การซื้อสินค้าและบริการตามข้อ 1.1 และ 1.2 ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังกำหนด
อนึ่งมาตรการส่งเสริมฯ และมาตรการส่งเสริมการบริโภคฯ จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2562
(1) ขยายการเปิดรับลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการส่งเสริมการบริโภคฯ สำหรับประชาชน โดยรัฐบาลจะเสนอเฉพาะเงินชดเชดสำหรับการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่อง 2
(2) การใช้จ่ายค่าสินค้าและบริการผ่าน g-Wallet ช่อง 2 ตามมาตรการส่งเสริมฯ และมาตรการส่งเสริมการบริโภคฯ ให้สามารถใช้จ่ายได้ทุกจังหวัด รวมทั้งจังหวัดตามทะเบียนบ้าน โดยให้รวมถึงค่าบริการแพ็คเกจที่พักพร้อมการเดินทางหรือบริการที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนค่าสินค้าและบริการผ่านระบบที่ตรวจสอบการทำธุรกรรมได้ ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังกำหนด
(3) กรณีพบความผิดปกติจากการรับชำระเงินด้วยแอพพลิเคชัน “ถุงเงิน” ให้กรมบัญชีกลางในฐานะผู้รับสมัครร้านค้าเข้าร่วมมาตรการส่งเสริมฯ และมาตรการส่งเสริมการบริโภคฯ และผู้อนุมัติและดำเนินการแทนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ผ่านวิธีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณแทนกันเป็นผู้ดำเนินการการจ่ายเงินและตรวจสอบการทำธุรกรรมที่ผิดปกติดังกล่าว หากตรวจสอบแล้วพบว่ามีการกระทำผิด ให้กรมบัญชีกลาง ระงับสิทธิร้านค้าในการรับชำระเงินด้วยแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” และดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป
(4) กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง ให้ความอนุเคราะห์การตรวจสอบข้อมูลบุคคลจากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์สำหรับการดำเนินมาตรการส่งเสริมการบริโภคฯ
4.5 งบประมาณ : ใช้งบประมาณเดิมสำหรับมาตรการส่งเสริมฯ ในส่วนของ ททท.ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 ในกรอบวงเงินสำหรับเงินชดเชยจำนวน 9,050 ล้านบาท
ต่างประเทศ
9. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงกลาโหม (กห.) จัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ (บันทึกความเข้าใจฯ) และให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้หากมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้ กห. พิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสม ตามที่กระทรวงกลาโหม เสนอ (จะมีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (ASEAN Defence Ministers’ Meeting - Plus : MDMM - Plus) ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 16 ถึงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 ณ กรุงเทพมหานคร)
สาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกรอบการทำงานในการส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีด้านการป้องกันประเทศบนพื้นฐานของหลักความเท่าเทียมกัน ผลประโยชน์ร่วมกันและการเคารพอย่างเต็มที่ต่ออำนาจอธิปไตยและและบูรณภาพเหนือดินแดนอย่างเต็มที่ ทั้งสองฝ่ายจะเสริมสร้างความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ร่วมกันด้านความมั่นคง ส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในระดับภูมิภาคและระดับโลกในภาพรวม
10. เรื่อง ร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมระหว่าง ไทย - สหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2020 ว่าด้วยการเป็นพันธมิตรด้านการป้องกันประเทศ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมระหว่าง ไทย - สหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2020 ว่าด้วยการเป็นพันธมิตรด้านการป้องกันประเทศ (ร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมฯ) และให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมฯ ให้กระทรวงกลาโหม (กห.) พิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสม ตามที่กระทรวงกลาโหม เสนอ
(จะมีการจัดพิธีลงนามในร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมฯ ในการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (ASEAN Defence Ministers’ Meeting - Plus : ADMM - Plus) ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 16 ถึงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 ณ กรุงเทพมหานคร)
สาระสำคัญของร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมฯ เป็นการเสริมสร้างความสามารถในการปฏิบัติการร่วมกันระหว่าง กห. แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา โดยจะทำงานร่วมกับพันธมิตรและประเทศหุ้นส่วนอื่น ๆ อย่างจริงจัง เพื่อแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงที่ซับซ้อนในภูมิภาคอินโด - แปซิฟิก โดยทั้งสองฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือด้านความมั่นคงที่ยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการฝึกและศึกษา การเสริมสร้างขีดความสามารถ การปฏิบัติการร่วมกัน และการพัฒนาหน่วยงานด้านความมั่นคงและการทหารให้มีความทันสมัย เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของการเป็นพันธมิตรด้านการป้องกันประเทศระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา รวมทั้งกลไกความมั่นคงในภูมิภาค ที่ทั้งสองฝ่ายตระหนักและพยายามรักษาความเป็นแกนกลางของอาเซียนและบทบาทสำคัญของกลไกสถาปัตยกรรมด้านความมั่นคงของภูมิภาคที่นำโดยอาเซียน ซึ่งรวมถึงกลไกการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจาที่สนับสนุนความไว้วางใจและการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันเพื่อสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค
11. เรื่อง ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนและร่างความตกลงสำหรับการดำเนินโครงการ Promotion of Sustainable Agricultural Value Chains in ASEAN
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโครงการ Promotion of Sustainable Agricultural Value Chains in ASEAN รวม 2 ฉบับ ได้แก่ (1) ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนจากสำนักเลขาธิการอาเซียนถึงสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (Exchange of Notes) และ (2) ร่างความตกลงเพื่อดำเนินโครงการ (Implementation Agreement) รวมทั้งอนุมัติให้เลขาธิการอาเซียน (Secretary-General of ASEAN) ลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ และรองเลขาธิการอาเซียน (Deputy Secretary-General of ASEAN) ลงนามในร่างความตกลงเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวข้างต้น และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) แจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ว่า รัฐบาลไทยเห็นชอบต่อร่างเอกสารทั้ง 2 ฉบับ และให้เลขาธิการอาเซียนและรองเลขาธิการอาเซียนลงนามในเอกสารทั้ง 2 ฉบับ ดังกล่าวข้างต้นตามลำดับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอ
ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ (Exchange of Notes) และร่างความตกลงเพื่อดำเนินโครงการ (Implementation Agreement) ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ ตามข้อ 3.10) ด้วย
สาระสำคัญของร่างเอกสาร ทั้ง 2 ฉบับ
1. ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนจากสำนักเลขาธิการอาเซียนถึงสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (Exchange of Notes) มีเนื้อหาเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ งบประมาณ และประเด็นด้านการบริหารโครงการฯ โดยหนังสือของฝ่ายเยอรมนีจะระบุถึงข้อเสนอ และหนังสือของฝ่ายอาเซียนจะตอบรับข้อเสนอของฝ่ายเยอรมนี
2. ร่างความตกลงเพื่อดำเนินโครงการ (Implementation Agreement) ระหว่างอาเซียนกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี มีเนื้อหาเป็นการกำหนดรายละเอียดการดำเนินโครงการต่าง ๆ เช่น การสนับสนุนบุคลากรและการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมนี (GIZ) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีให้ดำเนินโครงการฯ การสนับสนุนบุคลากรและสถานที่ปฏิบัติงานของสำนักเลขาธิการอาเซียน และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการประเมินผลโครงการ การแก้ไขเพิ่มเติมความตกลง เป็นต้น
โครงการการสนับสนุนห่วงโซ่คุณค่าทางการเกษตรอย่างยั่งยืนในอาเซียน (Promotion of Sustainable Agricultural Value Chains in ASEAN) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาปัจจัยที่สำคัญในการดำเนินการมาตรฐานด้านคุณภาพและความยั่งยืนในห่วงโซ่คุณค่าทางการเกษตร (Agricultural Value Chains) ในภูมิภาคอาเซียนให้ดียิ่งขึ้น โดย GIZ จะสนับสนุนการจัดการข้อมูลและองค์ความรู้ในภูมิภาคและให้การสนับสนุนด้านวิชาการ การบริหารจัดการ และกิจกรรมพัฒนาศักยภาพอื่น ๆ (อาทิ การอบรม การประชุมเชิงปฏิบัติการ) ภายใต้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี จำนวน 3 ล้านยูโร (ประมาณ 100 ล้านบาท) ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะทำงานด้านพืชของอาเซียน (ASEAN Sectoral Working Group on Crops : ASWGC) เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2561 และที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการเกษตรและป่าไม้ (Senior Officials’ Meeting of the ASEAN Ministers on Agriculture and Forestry : SOM - AMAF) เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2562 แล้ว
12. เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เรื่อง ผลการเข้าร่วมการประชุมผู้นำ G20 ประจำปี 2562 ของนายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เรื่อง ผลการเข้าร่วมการประชุมผู้นำ G20 ประจำปี 2562 ของนายกรัฐมนตรี ข้อ 2 จากเดิม “ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) รับไปหารือในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันโคเซ็นในไทย (Thai KOSEN) ให้เหมาะสมและชัดเจนเพื่อดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้สถาบันโคเซ็นดังกล่าวอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ อว.” เป็น “ให้ อว. รับไปหารือในรายละเอียดร่วมกับ ศธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันโคเซ็นในไทยให้เหมาะสม และร่วมสนับสนุนการดำเนินการจัดตั้งสถาบันโคเซ็นดังกล่าวต่อไป” ตามที่ ศธ. เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ศธ. ได้จัดทำบันทึกความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งประเทศญี่ปุ่น ซึ่งบันทึกความร่วมมือดังกล่าวได้กำหนดความร่วมมือที่สำคัญเกี่ยวกับการก่อตั้งสถาบันการศึกษารูปแบบโคเซ็นประเทศญี่ปุ่นในประเทศไทย (Thai KOSEN) และการสนับสนุนนักเรียนไทยไปศึกษาต่อในสถาบันโคเซ็น ประเทศญี่ปุ่น [คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดทำบันทึกความร่วมมือดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2561] ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 ให้ อว. รับไปหารือในรายละเอียดร่วมกับ ศธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการจัดตั้ง Thai KOSEN ให้เหมาะสมและชัดเจนเพื่อดำเนินการต่อไป และให้ Thai KOSEN อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ อว. แต่เนื่องจากปัจจุบันองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency: JICA) ในฐานะหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณ ได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลและประเมินรายละเอียดสินเชื่อ (Loan Appraisal) สำหรับการก่อตั้ง Thai KOSEN และการสนับสนุนนักเรียนไทยไปศึกษาต่อในสถาบันโคเซ็น ประเทศญี่ปุ่น เรียบร้อยแล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาวงเงินกู้เพื่อขอความเห็นชอบจากรัฐบาลญี่ปุ่น โดยคาดว่าจะสามารถลงนามสัญญาเงินกู้ได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 และจะสามารถเริ่มจ่ายเงินกู้ได้ในเดือนเมษายน 2563 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ โดยให้ Thai KOSEN อยู่ภายใต้การกำกับของ อว. JICA จะต้องเริ่มขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลประเมินรายละเอียดสินเชื่อ (Loan Appraisal) สำหรับการดำเนินการดังกล่าวใหม่ (ใช้ระยะเวลาดำเนินการอีกประมาณ 1 ปี) และส่งผลให้การดำเนินการตามขั้นตอนการกู้เงินไม่เป็นไปตามกำหนดการที่วางแผนไว้ ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการพิจารณาวงเงินกู้จากรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นไปตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้ และมิก่อให้เกิดการติดขัดของการดำเนินการอันจะส่งผลกระทบต่อการจัดการศึกษา และการจัดการเรียนการสอนของนักศึกษาดังกล่าว ศธ. จึงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เป็น “ให้ อว. รับไปหารือในรายละเอียดร่วมกับ ศธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันโคเซ็นในไทยให้เหมาะสม และร่วมสนับสนุนการดำเนินการจัดตั้งสถาบันโคเซ็นดังกล่าวต่อไป”
13. เรื่อง การรับรองร่างปฏิญญากรุงเทพ: การตอบสนองอย่างมีประสิทธิผลต่อปัญหายาเสพติดในลุ่มแม่น้ำโขงและร่างแผนปฏิบัติการในอนุภูมิภาคเพื่อการควบคุมยาเสพติด ฉบับที่ 11
คณะรัฐมนตรีมีมติต่อร่างปฏิญญากรุงเทพ: การตอบสนองอย่างมีประสิทธิผลต่อปัญหายาเสพติดในลุ่มแม่น้ำโขงและร่างแผนปฏิบัติการในอนุภูมิภาคเพื่อการควบคุมยาเสพติด ฉบับที่ 11 รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมร่วมให้การรับรองร่างปฏิญญากรุงเทพ: การตอบสนองอย่างมีประสิทธิผลต่อปัญหายาเสพติดในลุ่มแม่น้ำโขงและร่างแผนปฏิบัติการในอนุภูมิภาคเพื่อการควบคุมยาเสพติด ฉบับที่ 11 โดยไม่มีการลงนาม ในห้วงการประชุมระดับรัฐมนตรีภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ 7 ฝ่ายฯ ในวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2562 ณ โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน กรุงเทพมหานคร และอนุมัติให้กระทรวงยุติธรรม แก้ไขปรับปรุงร่างปฏิญญากรุงเทพฯ และร่างแผนปฏิบัติการฯ ฉบับที่ 11 ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยหากมีความจำเป็น โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกตามที่กระทรวงยุติธรรม เสนอ
สาระสำคัญของร่างฯ ทั้ง 2 ฉบับ
1. ร่างปฏิญญากรุงเทพฯ เป็นการยืนยันเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกที่จะระดมความพยายามในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในอนุภูมิภาค ด้วยแนวทางที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ สอดคล้องกับเจตนาของกรอบบันทึกความเข้าใจ 7 ฝ่ายฯ บนหลักการความเป็นหุ้นส่วนและแบ่งปันความรับผิดชอบร่วมกัน การดำเนินงานเป็นไปอย่างสอดคล้องกับอนุสัญญายาเสพติดระหว่างประเทศทั้งสามฉบับ รวมถึงเอกสารที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ขององค์การสหประชาชาติ และตามแผนงานหลัก 4 ด้าน ของแผนปฏิบัติการฯ ฉบับที่ 11 ได้แก่ 1) ยาเสพติดและสุขภาพ 2) ความร่วมมือด้านการปราบปรามยาเสพติด 3) ความร่วมมือด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม และ 4) การพัฒนาทางเลือกอย่างยั่งยืน
2. ร่างแผนปฏิบัติการฯ ฉบับที่ 11 เป็นกรอบความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งกำหนดกรอบกิจกรรมและโครงการที่จะดำเนินการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ประกอบด้วยแผนงานหลัก 4 ด้าน ได้แก่ 1) ยาเสพติดและสุขภาพ 2) ความร่วมมือด้านการปราบปรามยาเสพติด 3) ความร่วมมือด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม และ 4) การพัฒนาทางเลือกอย่างยั่งยืน เพื่อรองรับสถานการณ์ปัญหายาเสพติดในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงที่เติบโตอย่างรวดเร็วให้สามารถลดความต้องการและปริมาณของยาเสพติดได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยจะดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายยาเสพติดโลกที่เน้นความสมดุลในการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่คำนึงถึงสุขภาพ สวัสดิภาพ และความมั่นคงปลอดภัยของประชาชน
14. เรื่อง การลงนามพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชในการนำเข้ารำสกัดน้ำมันและกากเนื้อในเมล็ดปาล์มจากประเทศไทยระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชในการนำเข้ารำสกัดน้ำมันและกากเนื้อในเมล็ดปาล์มจากประเทศไทยระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชในการนำเข้ารำสกัด น้ำมันและกากเนื้อในเมล็ดปาล์มจากประเทศไทยระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งนี้ หากมีการปรับปรุงแก้ไขร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะได้หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศเพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ
3. มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามในข้อ 2
สาระสำคัญของร่างพิธีสารฯ เป็นการดำเนินการภายใต้บันทึกความเข้าใจร่วมกันว่าด้วยว่าด้วยความร่วมมือด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชระหว่างไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2547 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1) รำสกัดน้ำมันและกากเนื้อในเมล็ดปาล์มของไทยที่ส่งออกไปจีน เป็นผลิตภัณฑ์ที่เหลือจากกากสกัดน้ำมันด้วยกระบวนการบีบจากรำข้าวและปาล์มน้ำมัน โดยต้องปราศจากศัตรูพืชกักกัน และมาจากโรงงานที่ผ่านการตรวจประเมินโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะนำส่งรายชื่อโรงงานให้สำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ( GACC) พิจารณาประกาศขึ้นทะเบียนบนเว็บไซต์ ของ GACC
2) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องตรวจสอบและรับรองว่าโรงงานได้มีการควบคุมสุขอนามัย ตั้งแต่ กระบวนการผลิตสินค้า ผลผลิตขั้นสุดท้าย โกดัง และยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งเพื่อให้รำสกัดน้ำมันและกากเนื้อในเมล็ดปาล์มสะอาดและปราศจากสิ่งแปลกปลอม โดยต้องแนบใบรับรองสุขอนามัยพืชและใบรับรองการรมยาไปกับกากเนื้อในเมล็ดปาล์มและรำสกัดน้ำมันที่ส่งไปจีนทุกครั้ง
3) เมื่อผลิตภัณฑ์รำสกัดน้ำมันและกากเนื้อในเมล็ดปาล์มไปถึงด่านนำเข้าของสาธารณประชาชนจีน เจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจสอบและกักกัน ณ ด่านนำเข้า หากตรวจพบว่าสินค้าไม่เป็นไปตามเงื่อนไขพิธีสารฉบับนี้ จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย การแก้ไข ส่งกลับ ทำลายสินค้า หรือระงับการนำเข้าเป็นรายสถานประกอบการ
แต่งตั้ง
15. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอแต่งตั้ง นางสาวนุชนภา รื่นอบเชย ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานและประเมินผลอุดมศึกษา สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการศึกษา (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
16. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (กระทรวงอุตสาหกรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นางวรวรรณ ชิตอรุณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายเอกภัทร วังสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
17. เรื่อง ขออนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จำนวน 3 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ดังนี้
1. รองศาสตราจารย์วีริศ อัมระปาล
2. นายธนพล คงเจี้ยง
3. นายพรเทพ ศิริวนารังสรรค์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป
18. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอแต่งตั้ง นายไกรเสริม โตทับเที่ยง เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป
19. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง จำนวน 6 ราย ดังนี้
1. นายสุเทพ แก่งสันเทียะ รองศึกษาธิการภาค (นักบริหาร ระดับต้น) สำนักงานศึกษาธิการภาค 14 สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
2. นายสุทิน แก้วพนา ผู้ช่วยปลัดกระทรวง (นักบริหาร ระดับต้น) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ
3. นายวีระ แข็งกสิการ รองศึกษาธิการภาค (นักบริหาร ระดับต้น) สำนักงานศึกษาธิการภาค 1 สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ
4. นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ รองเลขาธิการ (นักบริหาร ระดับต้น) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ
5. นายสุรินทร์ แก้วมณี รองศึกษาธิการภาค (นักบริหาร ระดับต้น) สำนักงานศึกษาธิการภาค 17 สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งศึกษาธิการภาค (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานศึกษาธิการภาค 5 สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ
6. นายยศพล เวณุโกเศศ รองเลขาธิการ (นักบริหาร ระดับต้น) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งศึกษาธิการภาค (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานศึกษาธิการภาค 8 สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
20. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ดังนี้
1. นางฤชุกร สิริโยธิน กรรมการ
2. พลโท กานต์ กลัมพสุต กรรมการ
3. นายจรูญเดช เจนจรัสสกุล กรรมการ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี