เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2563 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวในรายการ ‘หัวใจไม่หยุด‘เต้น’’ เผยแพร่ทางแฟนเพจ ‘นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ’ และยูทูบ 'นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ Official' เมื่อวันที่ 26 มี.ค. 63 ว่า ‘เมื่อรัฐบาลประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็หมายความว่า นายกรัฐมนตรีต้องการอำนาจเบ็ดเสร็จในการจัดการสถานการณ์โควิด -19 ทั้งๆ ที่กฎหมายปกติก็ได้ให้อำนาจรัฐบาลในการรับมือสถานการณ์ประเภทนี้อยู่แล้ว เช่น คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ตามพ.ร.บ.โรคติดต่อ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน มีคณะกรรมการประกอบด้วยปลัดกระทรวงหลายกระทรวง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อธิบดีอีกหลายต่อหลายหน่วยงาน
มีอำนาจหมดล่ะครับ ทั้งการกักกัน แยกตัวผู้ป่วยผู้ต้องสงสัย แม้กระทั่งไม่อนุญาตให้ใครเดินทางเข้ามาในประเทศ ปิดชายแดนต่างๆ ทั้งหลาย มีบทลงโทษหากใครฝ่าฝืน
แต่เมื่อเป็นพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็เท่ากับรัฐบาลยอมรับว่าภายใต้กลไกเครื่องมือหรือกฎหมายที่มีอยู่
ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้
เมื่อนายกฯ ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินบางคนก็ตีความไปถึงขั้นว่า นี่คือการยึดอำนาจ คือการรัฐประหารโดยกฎหมาย
อย่าไปไกลขนาดนั้นเลยครับ ยังไม่มีการยึดอำนาจใดๆ ทั้งสิ้นล่ะ ถ้าจะมีคนถูกยึดก็น่าจะเป็น
รัฐมนตรีบางคนซึ่งเคยมีบทบาทหลักอยู่ก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีพาณิชย์ รัฐมนตรีสาธารณสุข วันนี้กฎหมายหลายฉบับที่เคยให้อำนาจไว้ ไหลเข้าไปอยู่ในมือนายกรัฐมนตรี
เป็นที่น่าสังเกตว่าทั้งกระทรวงพาณิชย์และสาธารณสุข รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงเป็นหัวหน้าพรรคใหญ่ในรัฐบาล จะเกิดเป็นคลื่นใต้น้ำระหว่างรัฐบาลหรือไม่ ไม่ใช่ปัญหาของประชาชนล่ะครับ
วันนี้ปัญหาใหญ่ของประชาชนมีเรื่องเดียว คือรัฐบาลต้องแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ให้ได้โดยเร็วที่สุด จะใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ใช้ซะ เพราะที่ผ่านมามันมีแต่พ.ร.ก.ฉุกละหุกล้มลุกคลุกคลาน
มั่วกันไปมั่วกันมาเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์
ถึงแม้หลายมาตรการจะเห็นชัดว่ารัฐบาลตัดสินใจช้ากว่าข้อเท็จจริง เช่น การปิดกั้นไม่ให้ชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งผมเอง หรือแม้กระทั่งหลายๆ คน เรียกร้องมานานแล้วก่อนหน้านี้ เพิ่งมาเห็นเป็นรูปธรรมหลังการประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน
แต่เราก็ยังเอาใจช่วยรัฐบาลอยู่ ตราบใดที่ท่านยังอยู่ในอำนาจหน้าที่ท่านต้องรับผิดชอบต่อสิ่งนี้และต้องแก้ปัญหาอย่างถึงที่สุด
ส่วนเรื่องการติดตามสอดส่องประชาชนผู้แสดงความเห็น นายกฯ อย่าพูดเลยดีที่สุดครับ
ประชาชนที่เค้าสื่อสารกันออกมาเพราะห่วงใย มีความกังวลต่อเหตุการณ์ไม่ใช่หาเรื่องเตะตัดขารัฐบาล
ถ้าหากท่านแก้ปัญหาถูกทิศถูกทางปรากฏผลเป็นรูปธรรม ข้อวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้มันก็จะค่อยๆ เบาแรงลงไปเอง
คนส่วนใหญ่เค้าพร้อมให้ความร่วมมือ พร้อมสู้ไปด้วยกัน ผมเองนี่อยู่บ้านติดต่อกัน 9 วันแล้ว แต่ที่ส่งเสียงออกมา เพราะถือเป็นหน้าที่ที่ทุกคนจะต้องช่วยกัน รัฐบาลฟังแล้วไม่เห็นด้วยก็ไม่มีปัญหา
แต่อย่าคิดว่าคนที่เค้าวิจารณ์คือฝ่ายตรงข้าม แล้วจะไปใช้อำนาจตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินเข้ามาจัดการ เข้ามาตามเล่นงาน ถ้าเป็นแบบนั้นสถานการณ์มันก็จะยิ่งลุกลามบานปลาย
ไม่ใช่แค่เรื่องโควิด-19 จะกลายเป็นเรื่องที่รัฐบาลใช้อำนาจเกินขอบเขตกับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่
พ.ร.ก.ฉุกเฉินให้อำนาจนายกรัฐมนตรี ขาดเพียงมาตรา 44 ก็จะเท่ากับหัวหน้าคสช. ดังนั้น เมื่อมีอำนาจมากก็ไม่จำเป็นต้องใช้เกินกว่าความเป็นจริงของปัญหานะครับ
กักตุนอำนาจไว้บ้าง ใช้โฟกัสเฉพาะเรื่องโควิด-19 เฉพาะเรื่องแก้ไขเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ นั่นแหละครับ คือสิ่งที่ประชาชนอยากเห็น
-หนังสั้นชื่อ 'โควิด' แต่ผลกระทบเศรษฐกิจ หนังยาว
ส่วนมาตรการทางเศรษฐกิจออกมา ถือว่าเป็นการปฐมพยาบาล ซึ่งเรากำลังรอผลปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมนะครับ หลังจากนี้การเข้าถึงมาตรการของรัฐบาลของคนทุกกลุ่มที่เป็นเป้าหมายจะชัดเจนทันสถานการณ์หรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องตามดู แต่อยากให้เห็นภาพว่า การแก้ไขผลกระทบทางเศรษฐกิจเป็นหนังเรื่องยาวกว่าโควิด-19
แม้เชื้อร้ายโควิด-19 จะถูกควบคุมกำจัดไปได้แล้ว แต่ผลเสียหายทางเศรษฐกิจยังเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขกันต่อเนื่อง ดังนั้นเฉพาะหน้า ขอเรียกร้องให้นายกฯ เปิดพื้นที่ให้กับผู้ได้รับผลกระทบตัวจริง ทั้งผู้ประกอบการ ลูกจ้างในประกันสังคม ลูกจ้างนอกประกันสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการสะท้อนผลการปฏิบัติ ในการบอกเล่าสภาพปัญหาและในการนำเสนอมาตรการแก้ไขเยียวยาในระดับต่อๆ ไป
แยกวงออกต่างหากจากกรรมการที่ประชุมกันอยู่ทุกวันก็ได้ครับ มีอะไรก็เสนอเข้าวงใหญ่ เพราะผมเชื่อว่ายังมีรายละเอียดมีข้อเท็จจริงอีกมาก ที่จำเป็นจะต้องได้รับฟังจากคนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง การกำหนดมาตรการจึงจะถูกต้องและตรงกับเป้าหมาย
อีกกลุ่มหนึ่งคือบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งถือเป็นนักรบแนวหน้าเผชิญสถานการณ์นี้มาแล้วยาวนาน เป็นการทำงานที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน ทั้งเผชิญหน้ากับความเป็นความตายของผู้ป่วย
แล้วก็เสี่ยงภัยกับชีวิตของตัวเอง ดังนั้น ควรมีมาตรการพิเศษในการดูแลลูกเมียครอบครัวของบุคคลากรทางการแพทย์ ให้เค้าเถอะครับ ผมเชื่อว่า ไม่มีใครริษยา
บุคคลากรทางการแพทย์ สู้รบแนวหน้ามาแล้วหลายเดือน แล้วยังไม่รู้ว่า เมื่อไหร่สงครามนี้จึงจะเลิกลา ขวัญกำลังใจจึงเป็นเรื่องสำคัญ แน่นอนมีค่าตอบแทน มีเบี้ยเลี้ยง มีเบี้ยเสี่ยงภัยสำหรับผู้ปฏิบัติ แต่อย่าลืมว่า ลูกเมีย ครอบครัวและคนที่อยู่ข้างหลัง จะเป็นขวัญกำลังใจอย่างยิ่งสำหรับนักรบเสื้อกราวน์ ให้เดินหน้าต่อไป
พวกเราประชาชนก็ช่วยกันได้นะครับ รู้ว่าใครเป็นลูกเมียเป็นครอบครัวแพทย์พยาบาลบุคคลากรทางการแพทย์ ส่งข้อความส่งไลน์ เขียนจดหมายหรือมีของขวัญให้กำลังใจ
เรื่องแบบนี้อยู่ในบ้านก็ทำได้ แล้วผมเชื่อว่าพลังมันจะไปอยู่ในใจของคนที่เขากำลังจะปฏิบัติหน้าที่
-วิกฤตข้นต้องค้นหาโอกาส
ภายใต้มาตรการของรัฐซึ่งจะเข้มข้นขึ้นทุกที ขบวนการสหกรณ์ที่นำสินค้าข้าวปลาอาหารออกวางจำหน่าย ถูกต้องแล้วล่ะครับ แต่พัฒนาไปอีกนิดนึง ต่อยอดเป็นสินค้าสหกรณ์เดลิเวอรี่ จัดส่งสินค้าทุกที่ในชุมชนในท้องถิ่น นอกจากเป็นการเติมเต็มชีวิตทุกคนที่ต้องการให้อยู่กับบ้านแล้ว
ยังเป็นช่องทางในการขยายโอกาสและพัฒนากิจการของขบวนการสหกรณ์
จบโควิดแล้วอาจจะเห็นเดลิเวอรี่สหกรณ์ขึ้นทั่วประเทศไทย เป็นเดลิเวอรี่ชุมชนก็เป็นไปได้
ในท่ามกลางวิกฤตย่อมมีโอกาสอยู่เสมอ และในท่ามกลางโอกาสย่อมมีวิกฤตซุกซ่อนอยู่ อยู่ที่คนคิด อยู่ที่คนทำและอยู่ที่คนบริหารตัดสินใจ
ส่วนเรื่องงบประมาณภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ไม่สามารถขับเคลื่อนงบประมาณได้ตามแผนเดิมอยู่แล้ว ต้องล้มแผนเดิมทั้งหมด
แล้วเอางบทุกหน่วยงานเข้ามาบูรณาการเผชิญสถานการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะ เอามาวางบนโต๊ะ ให้เห็นกันชัดๆ สิครับว่างบประมาณเรามีอยู่เท่าไหร่ งบกลางที่นายกฯ บอกว่าใช้ไปเยอะแล้ว
ตกลงใช้ไปยังไง เหลืออยู่ขนาดไหน อาวุธยุทโธปกรณ์ยังไม่ต้องรีบไปซื้อล่ะครับ ตราบใดที่ยังหาหน้ากากอนามัยให้ประชาชนครบถ้วนไม่ได้ ปืนผาหน้าไม้ก็ไม่มีความหมาย
จะกู้เงินมาเพิ่มก็ไม่ได้ว่า แต่อยากรู้ว่า ในกระเป๋ามีอะไรอยู่เท่าไหร่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่คนในรัฐบาลนี้เคยใช้ อาจจะเพื่อเอาชนะฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
แต่วันนี้ท่านใช้เพื่อเอาชนะภัยต่อมนุษยชาติ ทุกอย่างต้องชัดเจน โปร่งใส ตรงไปตรงมา จึงจะสร้างความเชื่อมั่นได้
-เรียกร้องต่อตัวเอง(อย่าให้เขาว่าเอาได้)
ถึงที่สุดเรื่องนี้เรียกร้องต่อรัฐบาลอย่างเดียวไม่ได้ล่ะครับ ประชาชนต้องเรียกร้องต่อตัวเองด้วย การให้ความร่วมมือ มีวินัย รับผิดชอบต่อสังคมอย่างเคร่งครัด เป็นเรื่องจำเป็นนะครับ
ไอ้ประเภทจับกลุ่มออกไปกินเหล้ากันอยู่ริมถนน ออกไปเปิดบ่อนชนไก่ หรือเป็นผู้ป่วยแล้วหนีออกจากโรงพยาบาล ขอเถอะครับ อย่าให้มี เพื่อความปลอดภัยของท่านเอง
และก็เพื่อความปลอดภัยของสังคม
จะกฎหมายเด็ดขาดแค่ไหน ถ้าคนไม่ให้ความร่วมมือมันก็ไปต่อไม่ได้ ก่อนจะถามว่าสถานการณ์นี้จบเมื่อไหร่ ถามตัวเองก่อนครับว่า เราได้ร่วมมือกันสู้อย่างเต็มกำลังแล้วหรือไม่ ถ้ายังเราจะเริ่มเมื่อไหร่
โควิด ไม่แบ่งรวยจน ไม่แยกชนชั้น ติดใครได้มันติดหมดเหมือนๆ กัน คนไม่มีวินัยไร้ความรับผิดชอบ ก็มีอยู่ทุกกลุ่มสังคมเช่นเดียวกัน
ถ้าท่านเป็นคนคนนั้น ท่านก็ไม่ต่างอะไรกับโควิด-19
-วันนี้นายกฯ มีอำนาจเต็ม จะแก้ปัญหาได้ไหม?
ยังไม่แน่นะ ต้องดูกันไปก่อน แต่ที่เห็นชัดๆ ก็คือวันออกมาแถลงพ.ร.ก. สภาพดูค่อยยังชั่ว ถ้าเทียบกับหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้นายกฯ ออกทีวีดูยังกับผู้ติดเชื้อ เห็นนายกฯ แล้วใจหาย ไม่รู้จะรอดหรือเปล่า'นายณัฐวุฒิกล่าว
(ทีมงาน)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี