แฉไอ้โม่งงาบหัวคิวโควิด
อักษรย่อ‘พ.’
ศรีสุวรรณปูดอยู่.ในศบค.
จี้นายกฯตั้งกก.สอบด่วน
กห.ยันรบ.ไม่มีนโยบาย
ซัดนายหน้าดีลโดยตรง
เร่งหาเครือข่ายเชื่อมโยง
“ศรีสุวรรณ” จี้ “นายกฯ”หาตัว“ไอ้โม่ง”งาบหัวคิวโรงแรมที่พักกักตัวโควิด-19 ลั่นเป็นเรื่องใหญ่ เชื่อทำเป็นกระบวนการ พร้อมให้ตั้ง กก.พิเศษสอบด่วน ปูด อักษร“พ.”คนใน ศบค.เอี่ยวหักหัวคิว และยื่นผู้ตรวจการแผ่นดินส่งศาลรธน.วินิจฉัย “พ.ร.ก.กู้เงิน-พ.ร.ก.ฉุกเฉิน”ขัด รธน.หรือไม่ โฆษก”กลาโหม”เผย“นายกฯ”สั่งเร่งหาตัวคนหักหัวคิว โรงแรมกักตัว ระบุ”นายหน้า”ดีลโรงแรมโดยตรง ขยายผลหาเครือข่ายเชื่อมโยงยัน”ทหาร-สาธารณสุข”ไม่มีเอี่ยว ขณะที่”อนุทิน”ลั่น พร้อมตรวจสอบ ปมหักหัวคิวกักกันรัฐ เรียกร้องโชว์หลักฐาน หากเป็นคน สธ. ฟันไม่เลี้ยงแน่
เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่าจากกรณีที่กลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยวในจังหวัดชลบุรีออกมาระบุมีกลุ่มบุคคลไม่ทราบหน่วยงานติดต่อโรงแรมขนาดใหญ่หลายแห่งในเมืองพัทยา จ.ชลบุรีโดยอ้างว่าจะพิจารณาคัดเลือกโรงแรม ให้เป็นสถานที่กักตัวของคนไทยที่กลับจากต่างแดนหรือState Quarantine แลกกับการหักหัวคิว30-40% จากเงินที่รัฐบาลจ่ายให้ 1,000 บาท ต่อราย ต่อวันนั้น
จี้”นายกฯ”หาตัวไอ้โม่งงาบหัวคิว
“กรณีดังกล่าว เป็นเรื่องใหญ่ และน่าจะทำกันอย่างเป็นกระบวนการ เป็นเรื่องที่น่าละอายซึ่งนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(ศบค.) จะต้องรับผิดชอบ หาตัวผู้กระทำการดังกล่าว มาเปิดเผยและดำเนินการตามกฎหมายอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่สั่งการไปแล้วเรื่อง ก็จบ เพราะกลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยว สมาคมโรงแรมไทยภาคตะวันออก สมาคมนักธุรกิจ และ การท่องเที่ยวเมืองพัทยา รวมทั้ง สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดชลบุรี กล้าออกมาเปิดเผยถึงกรณีดังกล่าว ย่อมต้องมีมูล จะอ้างเป็นข่าวโคมลอยไม่ได้”นายศรีสุวรรณ ย้ำ
เสนอ นายกฯตั้งกก.พิเศษสอบด่วน
นายศรีสุวรรณ กล่าวอีกว่ามีเชื้อไฟ ย่อมมีควันฉันใดก็ฉันนั้น และการหาข้อเท็จจริง หาผู้กระทำผิดนั้น จะต้องตั้งคณะกรรมการพิเศษ ที่มีอำนาจเต็มจากบุคคลภายนอก มาทำการไต่สวน สอบสวน จะตั้งคนใน ศบค. ในจังหวัดชลบุรี ในกระทรวงสาธารณสุข ตำรวจ ทหาร มาสอบกันเองไม่ได้โดยเด็ดขาดเพราะเชื่อว่าคนที่กระทำการหรือเครือข่ายดังกล่าว คงไม่ใช่ตัวเล็กๆและอาจมีสัมพันธ์ที่ดี กับคนที่มีอำนาจในปัจจุบันก็ได้ เพราะแค่มีข่าว ยังไม่ทันที่จะมีการตรวจสอบแสวงหาข้อเท็จจริงเลย โฆษก ศบค.ก็รีบออกมาปฏิเสธทันควันเลยว่า ไม่มีการหัวหัวคิว State Quarantine ถือเป็นข้อพิรุธอย่างยิ่งและโฆษก ศบค. รวมทั้งกรรมการที่ถูกตั้งจาก ศบค.ทุกคนต้องถูกสอบด้วย
โดยคณะกรรมการพิเศษดังกล่าว อาจจะต้องไต่สวน สอบสวนเชื่อมโยงต่อไปด้วยว่า การที่รัฐบาลไม่ยอมที่จะยกเลิกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน(พ.ร.ก.ฉุกเฉิน)โดยมีการต่ออายุครั้งแล้ว ครั้งเล่านั้น มีผลต่อการเอื้อประโยชน์ต่อกรณีดังกล่าวด้วยหรือไม่เพราะคาดว่าจะมีคนไทยเดินทางกลับมาจากต่างประเทศอีกจำนวนมากกว่า 7-8หมื่นคน ถือว่าเป็นผลประโยชน์อย่างมหาศาลเลยทีเดียว ถ้าเรื่องนี้ไม่แดงขึ้นมาเสียก่อน กรณีที่เกิดขึ้น สมาคมฯจำเป็นที่จะต้องร้องเรียนให้องค์กรอิสระอย่างผู้ตรวจการแผ่นดิน เข้ามาทำหน้าที่อีกทางหนึ่งด้วยเพื่อใช้อำนาจตามกฎหมายในการตรวจสอบและถ่วงดุล การตรวจสอบตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีข้างต้น
ยื่นผู้ตรวจการฯส่งตีความพรก.ฉุกเฉิน
ต่อมา เวลา 10.30น.ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอให้พิจารณาและเสนอเรื่องพร้อมความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามาตรา 16 ของ พ.ร.ก.บริหารราชการสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 ที่กำหนดว่า ข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำตาม พรก.นี้ ไม่อยู่ในการบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 197หรือไม่ เนื่องจากเห็นว่า ตาม พรก.ให้อำนาจรัฐบาลในการออกข้อกำหนดจำนวนมากปัจจุบัน มีการออกมามากว่า 7 ฉบับ และถ้ารวมคำสั่งของ ศบค.ด้านความมั่นคงก็ออกมาแล้วมากว่า 15 ฉบับ ส่วนใหญ่เป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน กระทบต่อการประกอบอาชีพ แต่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบไม่สามารถใช้สิทธิโต้แย้งทางศาลได้ เพราะบทบัญญัติตามมาตรา16 จึงเป็นว่าเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ ยังขอให้เสนอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การที่รัฐบาลอาศัยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ออกพ.ร.ก.การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ.2563 โดยให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทย กู้เงินไม่เกิน 4 แสนล้านบาท เพื่อมาซื้อตราสารหนี้ของภาคเอกชนได้ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 ประกอบมาตรา 140 หรือไม่ เนื่องจากเห็นว่า การซื้อขายตราสารหนี้ ผู้ชื้อย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า จะต้องมีเรื่องของการขาดทุนหรือกำไร และการลงทุนในตราสารหนี้มีทั้งคนไทยและคนต่างชาติ แต่รัฐบาลกลับให้ธนาคารแห่งประเทศไทยกู้เงิน 4 แสนบ้านบาท ไปซื้อตราสารหนี้ของภาคเอกชนซึ่งล้วนก็เป็นบริษัทที่ร่ำรวยและเป็นการเปิดช่องให้ ธปท.เอื้อประโยชน์ต่อเอกชนบางรายได้ ซ้ำยังมีการระบุว่าถ้าหาดขาดทุนอนุญาตให้กระทรวงการคลังเข้าไปอุดหนุนในวงเงินไม่เกิน 4หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชนจึงเห็นว่าเป็นการใช้เงินอย่างไม่ถูกต้องประกอบกับรัฐธรรมนูญกำหนดเงื่อนไขของการออก พรก.ว่าต้องเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน แต่กรณีนี้เป็นการมาซื้อตราสารหนี้ของเอกชนซึ่งเอกชนสามารถที่จะดำเนินการเองได้อยู่แล้วรวมทั้งเห็นว่าถ้าออกพรก.แม้จะต้องผ่านการพิจารณาของสภา ก็ทำได้เพียงแค่อภิปราย เห็นชอบหรือไม่ก็โหวตให้ตกไปทั้งฉบับหรือไม่เท่านั้น สภาไม่สามารถปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลง พรก.ได้
ปูด‘พ.’คนในศบค.โยงหักหัวคิวกักตัว
นอกจากนี้ นายศรีสุวรรณ ยังเรียกร้อง ขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ตรวจสอบกรณีกลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมและธุรกิจท่องเที่ยวในจังหวัดชลบุรีออกมาระบุว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐ เรียกรับสินบจากกลุ่มผู้ประกอบการเพื่อแลกกับการที่โรงแรมจะได้รับคัดเลือกเป็นสถานที่กักตัว โดยแลกหัวคิว30-40เปอร์เซ็นต์ จากเงินที่รัฐบาล จ่ายให้ 1,000 บาท ต่อราย ต่อวัน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และคนที่ออกมากล่าว เป็นผู้ประกอบการเองจึงน่าเชื่อถือ ไม่ควรมีการฉกฉวยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19มาหาผลประโยชน์
“เรื่องแบบนี้คงไม่มีใครกล้าทำ นอกจากคนใน ศบค.โดยเฉพาะขณะนี้เริ่มมีกระแสข่าวว่าเป็นคนในราชการ อักษรย่อ พ.พาน จึงอยากให้ผู้ตรวจไปตรวจสอบ และควรจะต้องสอบ โฆษก ศบค.ด้วยที่ออกมาปฏิเสธข่าวในทันที ทั้งที่ยังไม่ได้มีการสืบสวน สอบสวนเลย อาจจะมีการเกี่ยวพันหรือเกี่ยวโยงกันก็ได้ เรื่องนี้สร้างความอับอายไปทั่งโลก ยังไม่มีการสืบสวน สอบสวนออกมาแก้ข่าวได้อย่างไร”นายศรีสุวรรณ ระบุ
กห.ยันรบไม่มีนโยบายเรียกหัวคิว
เวลา11.45น.ที่กระทรวงกลาโหม ได้มีการประชุมสภากลาโหมซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธาน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังประชุมถึงกรณีที่มีข่าวว่ามีการแอบอ้างหักหัวคิวโรงแรมที่ใช้เป็นสถานที่กักตัวคนไทยที่กลับจากต่างแดน(State Quarantine)ว่า เป็นความตั้งใจของกระทรวงกลาโหม กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทย ที่ได้ทำงานร่วมกันในการจัดหาโรงแรม เพื่อใช้เป็นสถานที่กักตัว ยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายเรียกรับผลประโยชน์ สิ่งที่ดำเนินการ คือ การให้ผู้ประกอบการได้รับผลประโยชน์สูงสุดและนำคนไทยที่ตกค้างอยู่ต่างประเทศกลับประเทศ ยืนยันว่าคนเหล่านี้ ไม่ใช่คนป่วย เพียง แต่ต้องเข้าสู่กระบวนการควบคุมโรค 14วัน ก่อนหน้านี้ทางกระทรวงสาธารณสุข ได้แถลงถึงเรื่องการหักหัวคิวไปแล้ว หากใครพบเบาะแส สามารถแจ้งไปยังกระทรวงสาธารณสุขได้
ชี้มีนายหน้าดีลโรงแรมงาบหัวคิว
โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ทั้งนี้ จากที่ตนได้พูดคุยกับนายกสมาคมธุรกิจโรงแรมภาคตะวันออก ทราบว่าเป็นเรื่องจริงซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างทยอยให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ และต้องไปดูข้อมูลเพิ่มเติมว่ามีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่
“ยืนยันว่ารัฐไม่มีนโยบายเก็บค่าหัวคิว เพราะเรื่องดังกล่าวเราดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. ต่อกลุ่มคนไทยที่กลับจากฮูฮั่น จนถึงปัจจุบัน ก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องนี้ ทราบว่าคนที่ดำเนินการเรื่องนี้ เป็นนายหน้าที่ไปติดต่อกับโรงแรมโดยตรงและเรียกรับผลประโยชน์“พล.ท.คงชีพ กล่าว
ยืนกราน”กองทัพ-สาธารสุข”
เมื่อถามว่า การหักค่าหัวคิว 40 เปอร์เซ็นต์ไม่ใช่คนของกองทัพใช่หรือไม่ พล.ท.คงชีพ ยืนยันว่าไม่มี หากพบว่าเป็นคนของกองทัพ หรือกระทรวงสาธารณสุข เข้าไปเกี่ยวข้องสามารถแจ้งข้อมูลมาได้โดยตรง จะต้องถูกลงโทษทางวินัยและอาญาอย่างเด็ดขาด เพราะเรื่องดังกล่าว ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาครัฐ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ จะลงพื้นที่ไปตรวจสอบ
“นายกฯ”สั่งเร่งหาตัวเรียกหัวคิว
เมื่อถามว่ามีคนชักจูงอยู่เบื้องหลังหรือไม่ พล.ท.คงชีพ กล่าวว่า ต้องดูความเชื่อมโยงกลุ่มเหล่านี้ว่ามีใครอยู่เบื้องหลัง เพราะทำให้เกิดความเสียหายต่อภาครัฐและประชาชนส่วนรวม ขณะที่ผู้ประกอบการควรได้รับสิทธิ์ตรงนี้อย่างเต็มที่ สำหรับผู้ที่เข้ารับการกักตัว ก็ต้องได้รับการดูแลเป็นอย่างดี หากมีการหักค่าหัวคิวก็จะทำให้การดูแลไม่ดีพอเพราะอาหารก็จะต้องถูกตัดไปด้วย ขณะนี้กำลังตามหาตัวอยู่และนายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้เร่งดำเนินการ นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังขอให้ผู้ประกอบการโรงแรม พิจารณาเป็นโรงแรมท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพภายหลังจากที่มีการเปิดประเทศแล้ว ในขณะที่นักท่องเที่ยว ที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศนั้นยังคงต้องกักตัว 14วัน โดยจะต้องออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด
“หมอหนู”พร้อมให้สอบปมหัวคิว
ด้าน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ธารณสุข (สธ.)กล่าวถึงกรณีมีกลุ่มคนอ้างเป็นคนจัดอีเวนต์ของ สธ.เข้าไปประสานผู้ประกอบการโรงแรมว่าสามารถช่วยเหลือให้ผ่านการประเมินเป็นสถานที่กักกันของรัฐ สำหรับผู้เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ มีการหักค่าหัวคิว40%ว่า หากมีเรื่องเช่นนี้ เกิดขึ้นจริง ขอให้นำหลักฐานมาร้องเรียนได้ที่ตนที่ สธ.ได้ตลอดเวลา หลักฐานที่ว่า อาจจะไม่ใช่ใบเสร็จเพราะยังไม่เกิดขึ้น แต่การที่ไปประสานหักหัวคิวแบบนี้ ถือว่าเป็นการทำผิดแล้ว และตนเชื่อว่าโรงแรมมีกล้องวงจรปิดอยู่แล้ว น่าจะมีการเก็บข้อมูลเอาไว้อยู่อย่างน้อย 30วัน ขอให้นำมาร้องเรียนได้เลย
ลั่นถ้าคน สธ.มีเอี่ยว ฟันไม่เลี้ยง
“เป็นไปไม่ได้ ที่คนสาธารณสุข จะทำเรื่องแบบนี้ เพราะเราถูกเทรนด์มาให้รักษาคนไข้เพราะฉะนั้นหากคนพูด พูดไม่จริง ไม่มีหลักฐาน สธ.ก็จะฟ้องร้อง ไม่ได้หมายความ ผมไม่เชื่อซึ่งผมจะตรวจสอบ หากมีคน สธ.ทำเรื่องแบบนี้จริง ก็จะเอาผิดให้ถึงที่สุด เช่นเดียวกัน”นายอนุทิน ย้ำ
รมว.สาธารณสุข กล่าวอีกว่า การอนุมัติให้เป็นสถานกักกันของรัฐอยู่ที่ สธ. ไม่ได้มีคนรับจัดอีเวนต์ ดังนั้น ถ้าไม่เห็นหน้า อย่าไปเชื่อ ถ้าใครไปทำแบบนี้ ขอให้อัดคลิป อัดวิดีโอ เพื่อเป็นหลักฐานได้เลยหรือเอากล้องวงจรปิดออกมา ตั้งโต๊ะแถลงประณามไปเลยว่ามีคนแบบนี้อาศัยความเดือดร้อนของคนอื่นมาหากิน จะขอท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จัดเจ้าหน้าที่มาช่วยดูแลด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี