"ศรีสุวรรณ"ร้องผู้ตรวจฯตรวจสอบ"กกพ."กำหนดแผนผลิตไฟฟ้าโอเวอร์ไม่เป็นตามมาตรฐานสากล ปมเหตุประชาชนต้องจ่ายแพง ขอให้ยืดเซ็นต์สัญญาเอกชนออกไป3-5ปี แพลมหลายรายการจ่อสอบซื้อแพง แถม"รองผู้ว่าการฯ-ผู้ช่วยผู้ว่าการฯ"แต่ละตำแหน่งมากกว่า20-30คน
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 27 พฤษภาคม 2563 ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นเรื่องขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) จากกรณีที่ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าต้องร่วมกันแบกรับภาระค่าไฟฟ้า ที่รัฐได้ทำสัญญาผูกขาดไว้กับเอกชนต่างๆ
โดย นายศรีสุวรรณ เห็นว่า การที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ.ไปกำหนดการผลิตไฟฟ้าเกินกว่ามาตรฐานที่กำหนด คือ ต้องผลิต 45,000 เมกะวัตต์ ขณะที่ปริมาณการใช้จริงอยู่ที่ 26,000 - 27,000 เมกะวัตต์ เท่านั้น และจากที่มียอดการใช้ไฟฟ้าสูงสุด เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2563 ใช้เพียง 28,000 เมกะวัตต์ ดังนั้น จึงมีไฟฟ้าที่เหลือ หรือไฟฟ้าสำรอง มากกว่า 16,000 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นการสำรองที่โอเวอร์เกินไป และเป็นค่าใช้จ่ายที่ประชาชนต้องแบกรับ เพราะปริมาณไฟฟ้าเหล่านี้เมื่อไปทำสัญญากับเอกชน ก็จะมีภาระค่าไฟ ที่รัฐได้ทำสัญญาผูกขาดไว้กับเอกชนต่างๆ ไม่ว่าจะใช้ไฟฟ้าที่ผลิตมาได้หรือไม่ก็ตาม ซึ่งต้องจ่ายตามสัญญาและหน่วยงานของรัฐก็ไม่ได้นำเงินส่วนตัวไปจ่าย แต่มาผลักภาระทั้งหมดให้กับประชาชน ด้วยการมากำหนดในค่าไฟยูนิตต่างๆ
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ในแผนความต้องการใช้ไฟฟ้า หรือ PDP ที่ กกพ.กำหนดการคำนวณโอกาสในการที่จะผลิตกระแสไฟฟ้า โดยยึดตามการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ซึ่งเกินไปกว่าความเป็นจริงค่อนข้างมาก โดยระบุว่าภายใน 10 ปี อัตราการเจริญเติบโตของประเทศไทยอยู่ในระดับ 3.8% ทั้งที่ข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นตามนั้น และยิ่งเมื่อเกิดผลกระทบจากการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ยิ่งทำให้ GDP ติดลบมากยิ่งขึ้น แม้รัฐบาลจะพยายามให้มีการลดค่าไฟฟ้าเพื่อช่วยเหลือประชาชน แต่ก็เป็นการลดเพียงแค่ช่วง 2 - 3 เดือน เพื่อเป็นการช่วยเหลือจากผลกระทบของโรคโควิด-19 ซึ่งหลังจากนี้ก็ต้องกลับมาใช้ไฟในราคาที่แพงเกินไปอยู่ดี
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่เป็นธรรมกับประชาชน และผู้ตรวจการแผ่นดินเคยมีมติในเรื่องการผลิตไฟฟ้าที่ไม่เป็นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 56 คือ จัดให้มีสาธารณูปโภคอย่างทั่วถึง และรัฐจะต้องถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 51% แต่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตกับผลิตไฟฟ้าได้แค่ 33% ส่วนอีก 66% เป็นการผลิตของภาคเอกชน ซึ่งผู้ตรวจฯ ได้เคยมีมติและเสนอหนังสือต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปแล้ว แต่เรื่องราคาไฟฟ้ามีการผลักภาระมาให้ประชาชนตลอดเวลา เนื่องจากการคำนวณค่าไฟเกินนำไปสู่การซื้อ - ขายไฟฟ้าเกินความความต้องการใช้
ทั้งนี้ ตนมีข้อเสนอแนะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจจะยกเลิกสัญญาที่จะมีการลงนามในอนาคต เพื่อไม่ให้มีปริมาณไฟฟ้าเพิ่มเข้ามา เพราะถ้าไม่ยกเลิก จาก 45,000 เมกะวัตต์ จะเพิ่มไปเป็นกว่า 50,000 - 60,000 เมกะวัตต์ ก็จะยิ่งเป็นภาระให้กับประชาชน ซึ่งบางโรงไฟฟ้าสามารถขยายหรือเลื่อนการลงนามออกไปอีก 3 - 5 ปี ก็ยังได้
"ไฟฟ้าที่ผลิตมาเกิน ก็ไม่ได้ถูกนำไปใช้อะไร ถือว่าเสียไปฟรีๆ แต่ต้องจ่ายในราคาเต็มตามสัญญา ทั้งนี้ หากลดปริมาณการผลิตก็อาจจะทำให้ค่าไฟฟ้าต่อยูนิตที่เรียกเก็บจากประชาชนลดลงได้ ซึ่งตามมาตรฐานสากลต้องผลิตเกินการใช้จริงเพียง 15% แต่ประเทศเรามีการผลิตโอเวอร์ไป 50 - 60% เกินมาตรฐานสากล" นายศรีสุวรรณ กล่าว
นายศรีสุวรรณ ยังกล่าวว่า การร้องผู้ตรวจฯ เพื่อให้ตรวจสอบเรื่องผลิตไฟฟ้าเกินความต้องการ ไม่ได้เป็นการแก้เกี้ยวหลังร้องเรื่องรถเข็นราคาแพง แต่ขอยืนยันว่า ยังมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการไฟฟ้าที่ซื้อของแพงอีกหลายรายการ รวมทั้งเรื่องการที่หน่วยงานของการไฟฟ้าทั้ง 3 หน่วย มีตำแหน่งฝ่ายบริหารมากเกินไป เช่น รองผู้ว่าการฯ เกือบ 20 ตำแหน่ง , ผู้ช่วยผู้ว่าการฯ อีกกว่า 30 ตำแหน่ง ซึ่งทุกตำแหน่งจะมีรถประจำตำแหน่งและผลตอบแทนที่ได้รับมากเกินไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี