“วิสาร” อัดงบฯฉบับเพ้อฝัน จี้ “มท.1” กล้าตัดงบไม่จำเป็น แฉ “กรมการปกครอง” ซื้อรถปิ๊กอัพให้ อส.แต่คุณนายใช้ ด้าน “บิ๊กป๊อก” ยันจำเป็นต้องซื้อฮ.-รถดับเพลิง เสริมคุณภาพกู้ภัยสู่สากล ยันไม่ว่าใครโกงคุกรออยู่
เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2563 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 วงเงิน 3,300,000,000,000 บาท เป็นวันที่ 3 โดยนายวิสาร เตะชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า วันนี้ตนไม่มีความหวังกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่มีความหวังที่ ส.ส. ทำงานอย่างเข้มแข็งตนนอนตาหลับแล้ว แต่การจัดทำงบปี 2564 เป็นงบประมาณที่ตกยุค เป็นการตั้งงบประมาณแบบเพ้อฝัน เพราะการจัดเก็บภาษีไม่มีทางได้เลย เพราะภาวะขณะนี้ รัฐบาลล็อกดาวน์ประเทศ ชาวบ้านเดือดร้อนหมด บริษัทไม่มีเงินเสียภาษี ตอนนี้ไม่ต้องคิดว่า จะฟื้นฟูเศรษฐกิจ ขอให้ประชาชนประคองชีวิตให้รอดก็ลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงมหาดไทย เรื่องที่ไม่ควรใช้งบประมาณ โดยขอให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ใช้ความกล้าหาญในการตัดงบบางตัวของกระทรวงมหาดไทย เช่น ศาลากลาง ศูนย์ราชการ ที่ว่าการ เพื่อเอาไปใช้อย่างอื่นได้
นายวิสาร กล่าวอีกว่า โครงการสะพานแบลี่ย์จำเป็นต้องใช้หรือไม่ ถ้าเทียบประเทศไทยเป็นคนป่วย ก็อยู่ในขั้นโคม่า มะเร็งระดับ 4 หรือการจัดซื้อรถฉีดน้ำ รถกู้ภัย รถไฮโดรลิค รถอเนกประสงค์ ที่สำคัญรถผลิตอากาศจำนวน 6,000 คัน จำนวนหลายร้อยล้านบาท ปรากฏว่าเกิดเหตุ หมูป่าติดถ้ำที่ขุนน้ำนางนอน เมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่ก็หาเรื่องซื้อ ดังนั้นขอให้ยกเลิก เพราะเป็นงบประมาณปี 2564 รวมถึงหลังคาโค้งไร้โครงสร้าง ตัวละ 10 กว่าล้านบาท จึงขอให้ยกเลิก แล้วเอางบเหล่านี้ไปเป็นอาหารให้กับคนจนดีกว่า นอกจากนั้นโครงการไฟป่าเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลชุดนี้ตั้งไว้ แต่ไม่สำเร็จ การดับไฟป้าวิธีการง่ายๆชาวบ้านเขาใช้เครื่องพ่นยา และเขาต้องการเฉพาะเครื่องเป่าลมสำหรับทำแนวกันไฟ แต่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) จัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ มูลค่า 1,800 ล้านบาท
นายวิสาร กล่าวอีกว่า ขอถามว่า ปภ. เป็นกองทัพหรือ จำเป็นต้องมีฝูงบินหรือ เรามีเครื่องบินปีกหมุน 300 กว่าลำ สามารถเอามาใช้ได้ ซึ่งปี 2562-2565 จะจัดซื้ออีก 6 ลำ ขณะนี้เหลืออีก 4 ลำ ขอให้ยกเลิก เพราะไม่จำเป็น ที่สำคัญมีข่าวว่าถูกสั่งการจาก “ผู้มีอิทธิพลจากส่วนกลาง” โดยบริษัทที่ได้คือบริษัท ดาต้าเกต ซึ่งเป็นบริหารค่าอาวุธ ยุโธปกรณ์ตั้งแต่สมัยพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ยังเป็น ผบ.ทบ.จำนวนหลายพ้นล้านบาท ดังนั้นการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ถือว่าเกินความจำเป็น ในภาวะวิกฤตอย่างนี้ ตนว่าประเทศไทยต้องใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“ที่สำคัญ รถปิ๊กอัพบางคัน กรมการปกครองซื้อไปให้กองอาสารักษาดินแดน (อส.)ใช้ทุกที่ และมีการล็อกสเปก เป็นที่รู้กันว่าเอายี่ห้ออะไร และเขาบอกว่า อส. ไม่ได้นั่ง มีแต่นาย แต่นายนั่งยังไม่เท่าไหร่ แต่มีคุณนายไปใช้ด้วย ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ จึงขอให้ยกเลิกงบเหล่านี้ แล้วเอามาใช้ที่จำเป็น และในยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ แก้ไขปัญหาไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม รวบอำนาจ ทำลายศักยภาพ เกียรติภูมิขอองประเทศไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อนในปะวัติศาสตร์ และขอเรียกงบฉบับนี้ว่า ฉบับเพ้อฝัน ผลาญงบ จบด้วยโควิด ซึ่งนายกฯจะจบไปก่อนหรือคนไทยจะจบไปก่อน” นายวิสาร กล่าว
จากนั้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวชี้แจงว่า การจัดซื้ออุปกรณ์สำหรับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยนั้น ทุกจังหวัดมีความสำคัญ เมื่อเกิดภัยพิบัติใดก็ตาม เราไม่สามารถส่งเครื่องมือและอุปกรณ์ให้ทุกจังหวัดได้ ปภ.จึงจัดตั้งศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต รวม 18 เขตทั่วประเทศ โดยให้จังหวัดที่อยู่ในแต่ละเขตใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆร่วมกัน ขณะที่การจัดซื้ออุปกรณ์ก็ทำเท่าที่จำเป็น และพยายามรวมกันใช้อุปกรณ์ให้ประหยัดที่สุด ส่วนที่มีการอภิปรายถึงเรื่องสะพานแบลีย์นั้น
“ผมขอชี้แจงว่า สะพานดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีใช้ในกรณีเกิดเหตุสะพานถูกตัดขาด เพื่อให้ประชาชนใช้สัญจรเป็นการชั่วคราว โดยสะพานนี้จะใช้งานนานพอสมควร เพราะจะถอนออกได้ต่อเมื่อมีงบประมาณมาสร้างสะพานใหม่ ส่วนรถอัดอากาศ เราไม่เคยมี แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีใช้ในการกู้ภัย เพราะใช้เติมอากาศให้ผู้ประสบภัยกรณีเกิดเหตุในพื้นที่ที่จำกัด อาทิ เหตุการณ์เหมืองถล่ม อาคารถล่ม
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวอีกว่า สำหรับการดับเพลิงนั้น รถดับเพลิงที่เรามีอยู่ ฉีดน้ำกรณีอาคารสูงที่สุด 20 ชั้น แต่อาคารในกรุงเทพฯหลายแห่งมีความสูงถึงร้อยชั้น รถดับเพลิงที่มีอยู่จึงไม่สามารถดับเพลิงกรณีเกิดเหตุไฟไหม้ในพื้นที่ที่อยู่สูงเกิน 20 ชั้น และถ้าเป็นเหตุไฟไหม้ตึกสูงในต่างจังหวัด ก็ต้องยืมรถดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ไปใช้ ส่วนเฮลิคอปเตอร์ที่จะมีการจัดซื้อนั้น เป็นเฮลิคอปเตอร์กู้ภัยทำได้ทั้งการขนน้ำไปเทดับไฟ และยังมีเครื่องฉีดน้ำเข้าไปดับเพลิงในตึก ซึ่งเราไม่เคยมีเป็นของตัวเอง โดยที่ผ่านมา เราต้องไปขอยืมเฮลิคอปเตอร์จากกองทัพ แต่ทำได้แค่หิ้วน้ำไปดับไฟ เพราะไม่ได้ติดตั้งเครื่องฉีดน้ำ ซึ่งในต่างประเทศ การบรรเทาสาธารณภัยต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ของฝ่ายพลเรือน ไม่ใช่ไปขอยืมจากกองทัพมาใช้ เราจึงต้องมีเฮลิคอปเตอร์นี้เพื่อให้การบรรเทาสาธารณภัยของเราเป็นไปตามมาตรฐานสากล
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าส.ส.ของจังหวัดในภาคเหนือรู้ดีว่าการขอยืมเฮลิคอปเตอร์จากกองทัพมาใช้ดับไฟ ทำได้แค่หิ้วน้ำมาดับไฟ แต่ไม่ตรงเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม กระทรวงมหาดไทยพยายามใช้งบประมาณให้ประหยัดที่สุดในการจัดซื้ออุปกรณ์กู้ภัย การที่เราขอซื้อเฮลิคอปเตอร์นี้หลายลำไม่ได้ทำเพื่อตั้งเป็นกองบิน การจะซื้อ 6 ลำ เป็นเพราะต้องมีไว้สลับกันใช้งานกรณีที่ต้องมีการซ่อมบำรุง และจะช่วยให้การเข้าไปดับไฟ เป็นระลอกทำได้สะดวก อีกทั้งสามารถใช้ดับไฟบนเขาได้ ส่วนบริษัทใดจะชนะการประมูลนั้น เป็นเรื่องของ ปภ.พิจารณา ถ้าอยากได้ของดีก็ย่อมมีราคาสูง
“เรื่องการจัดซื้อจะมีความโปร่งใสหรือไม่นั้น ผมยืนยันว่า ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรี ส.ส. หรือท้องถิ่น ถ้าใครทำผิดก็ต้องโดนกฎหมาย มีคุกรออยู่ จึงควรทำให้ประชาชนมั่นใจในกระบวนการนี้ ไม่ใช่ไปพูดให้ประชาชนรู้สิ้นหวังว่า มีแต่คนโกงทำอะไรก็ได้ ทั้งที่มีศาลอยู่ ที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่า มีผู้ใหญ่นายโตทั้งหลายมีคดีทั้งนั้น หนีกันก็เยอะ คงไม่ต้องงพูดอะไร ขอให้เป็นไปตามนั้น ถ้าบริษัทที่เขาได้ ได้ตามกฎหมาย ก็ไม่มีอะไรแปลก ส่วนรถปิ๊กอัพถ้ามีคุณนายไปนั่ง ทำผิดกฎหมาย ก็ว่ามา นายอำเภอ ผู้ว่าฯคนไหนทำอย่างนั้น เราก็จะได้เอาออกไป แล้วคนอื่นมาเป็น จึงขอยืนยันว่า งบประมาณดังกล่าวของกระทรวงมหาดไทยเป็นสิ่งจำเป็น” รมว.มหาดไทย กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี