1.ยุคสมัยปัจจุบันนี้ แม้จะรู้ว่าการสอบเข้ารับราชการไม่ใช่ของง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากก็ตาม แต่ก็มีผู้คนไม่น้อยที่มาสอบเพื่อรับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือนกันเพราะต่างมองกันว่าแม้จะได้รับเงินเดือนต่ำกว่าเอกชนก็ตาม แต่ก็ยังมีสิทธิประโยชน์ต่างๆ มากมายทีเดียวและเวลาประสบปัญหาเศรษฐกิจวุ่นวายก็ไม่ตกใจ หรือแม้แต่ปัญหาที่ระบาดไปทั่วโลก คือ “โคโรนาไวรัส” หรือที่เรียกว่า “COVID-19” ก็ไม่มีผลกระทบ ราชการยังจ่ายเงินเดือนมาโดยตลอด
2.บางครั้ง ผู้ที่รับราชการอยู่ เกิดความน้อยใจก็ขอลาออกจากราชการไป ต่อมาต้องการจะกลับเข้ารับราชการอีกก็ทำได้ 2 แบบ คือ ขอบรรจุกลับเข้ารับราชการ หรือสอบบรรจุใหม่ก็ได้ แต่ผลของการกลับเข้ารับราชการใหม่นั้น ไม่เหมือนกันนะ คือว่า บรรจุกลับก็นับเวลาต่อไป เงินเดือนก็นับต่อเช่นกัน แต่กรณีบรรจุใหม่ ก็ต้องเริ่มต้นใหม่หมด ทั้งตำแหน่ง เงินเดือน เป็นต้น
3.ประเด็นครั้งนี้มาจากปัญหาข้าราชการรายหนึ่งสังกัด กรม ก.ได้กระทำผิดอาญา แล้วได้ลาออกจากราชการเมื่อ 1 ส.ค. 2541ต่อมาวันที่ 3 ส.ค. 2541 ผู้นี้ก็สอบบรรจุได้ที่ กรม ข.และปฏิบัติราชการมาจนกระทั่งคดีอาญาที่เกิดขึ้นที่ กรม ก. ศาลจังหวัดพิพากษาจำคุกมีกำหนด 2 ปีเมื่อ 26 ธ.ค. 2544 และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ขณะนี้อยู่ระหว่างฎีกา เช่นนี้ทางราชการ (กรม ข.)จะพิจารณาดำเนินการทางวินัยกับข้าราชการรายนี้ได้หรือไม่เพียงใด
4.ก.พ.ได้พิจารณาประเด็นปัญหาของเรื่องนี้แล้วมีความเห็นโดยสรุป ดังนี้
1) หลักการที่ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุจะพิจารณาดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการพลเรือนสามัญ ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาได้นั้น จะต้องปรากฏว่าผู้นั้นมีการกระทำผิดวินัยเกิดขึ้นในขณะที่มีสถานะเป็นข้าราชการและได้มีการลงโทษในขณะที่ผู้นั้นยังรับราชการอยู่ เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 100 ที่กฎหมายบัญญัติให้สามารถดำเนินการทางวินัยต่อไปได้ แม้ผู้นั้นจะไม่มีสถานะเป็นข้าราชการแล้ว
2) สำหรับกรณีนี้ปรากฏว่า ข้าราชการรายนี้ขณะทำผิดรับราชการอยู่ที่ กรม ก. และลาออกจากราชการเมื่อ 1 ส.ค. 2541 ย่อมถือว่าผู้นี้พ้นจากราชการแล้วมาบรรจุเข้ารับราชการที่กรม ข. เมื่อ 3 ส.ค.2541การกระทำผิดเกิดก่อนที่ผู้นี้จะมารับราชการที่ กรม ข. เช่นนี้ กรม ข. ไม่อาจนำพฤติการณ์ของข้าราชการรายนี้มาดำเนินการทางวินัยได้
3) ขณะเดียวกันปรากฏว่า มีการร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญาแก่ผู้นี้ หลังจากที่มีการบรรจุผู้นั้นเป็นข้าราชการแล้ว ก็ไม่อาจสั่งให้ออกจากราชการตามมาตรา 67 แห่ง พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 เพราะกรณีการร้องทุกข์เกิดหลังจากที่ได้เป็นข้าราชการแล้ว
4) สำหรับกรณีที่ศาลได้พิพากษาให้จำคุก ฐานกระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุก โดยได้พิพากษาถึงที่สุดนั้น ก.พ.ได้เคยพิจารณาและมีความเห็นว่า การกระทำผิดวินัยฐานนี้(มาตรา 98 วรรคสองแห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 มาตรา 85(6)แห่งพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551) ไม่ได้ตั้งฐานจากการกระทำเดิมของผู้กระทำผิด แต่เป็นความผิดใหม่ เพราะถูกจำคุก ดังนั้น กรณีนี้ กรม ข. สามารถที่จะดำเนินการทางวินัย แก่ข้าราชการรายนี้ได้ต่อเมื่อศาลได้มีคำพิพากษาถึงสุดแล้วให้จำคุกแล้ว (หนังสือ ส.ก.พ.ที่นร 1011/ ล 240ลว 31 พ.ค.2554)
5.ก็หยิบมาบอกเล่าไว้เป็นอุทาหรณ์ให้บุคลากรใหม่ๆ ดูไว้เป็นตัวอย่างนะ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี