"ปธ.อนุฯปรองดอง"ชี้นิรโทษกรรมเป็นข้อเสนอหนึ่งส่งรบ.พิจารณา คงไม่อาจหาญชงเอง ด้าน"ยะใส"พร้อมนำไปถ่ายทอดมวลชน ขณะที่"จตุพร"เชื่อยังขัดแย้งต่อไป ชี้เห็นต่างต้องไม่มีใครตาย
เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 2563 ที่รัฐสภา นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาการปฏิรูป ทบทวน และแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ในคณะ กมธ.การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุยชน สภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังที่ประชุมได้เชิญตัวแทนกลุ่มที่มีความเห็นต่างทางการเมือง อาทิ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. , นายสุริยะใส กตะศิลา ตัวแทนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวมทั้ง นายวุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม มาร่วมรับทราบข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ
โดย นายชวลิต กล่าวว่า คณอนุฯ กมธ.ได้ฟังข้อเสนอของฝ่ายต่างๆ ซึ่งปัจจุบันบ้านเมืองเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากนั้น ยังมีความขัดแย้งของฝ่ายต่างๆ ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา รวมเป็นเวลา 15 ปีแล้ว ดังนั้นเราจึงต้องหลอมลวมทุกภาคส่วนให้ได้รับความสามัคคี ทุกคนได้ตกผลึกทางความคิดว่า ความเห็นต่างทางการเมืองไม่ใช่สิ่งที่เป็นส่วนสำคัญในการสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองตลอดไป ทำอย่างไรจึงจะลดความเกลียดชังของแต่ลละฝ่ายแล้วหันหน้ามาร่วมมือกัน การนิรโทษกรรมไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับความปรองดองสมานฉันท์เพียงอย่างเดียว ยังมีสิ่งอื่นที่อนุกมธ.ต้องสร้างความเข้าใจกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อลดความขัดแย้ง เช่น การอภัย การขอโทษต่อสังคม การให้เกียรติ การเยียวยา เป็นสิ่งที่อนุกมธ.ให้ความสำคัญต่อความรู้สึกของสังคม ทั้งนี้ จะนำข้อสรูปทั้งหมดที่ได้เสนอต่อกมธ.ชุดใหญ่เพื่อเสนอต่อสภาฯและรัฐบาลต่อไป
"ในเรื่องข้อเสนอการนิรโทษกรรมนั้น ก็จะเป็นข้อหนึ่งที่เสนอไปยังรัฐบาลว่าต้องทำอย่างไรบ้าง แต่คงไม่อาจหาญเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมเอง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลได้เคยพูดไว้อยู่แล้วทั้งในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และในยุทธศาสตร์ชาติ ส่วนการชุมนุมของนักศึกษาในเวลานี้ คิดว่ารัฐบาลควรรับฟังและสิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุดคือการแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้ทราบไทม์ไลน์การเลือกตั้งว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ทั้งนี้ทางอนุ กมธ.ฯ จะเชิญตัวแทนนิสิต นักศึกษา มาให้ข้อมูลด้วย" นายชวลิต กล่าว
ด้าน นายสุริยะใส กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา จะเห็นว่าคนไทยรวมใจเป็นหนึ่งเดียว หากทำได้อย่างนี้ ก็เชื่อว่าความขัดแย้งจะผ่านไปได้ ซึ่งตนพร้อมที่จะนำความเห็นของอนุ กมธ.ฯ ไปพูดคุยกับมวลชน ซึ่งทุกวันนี้ตนคุยกับคนเสื้อแดงมากกว่าคนเสื้อเหลืองเสียอีก และตนพร้อมรับฟังเพื่อให้ข้อเสนอแนะในทุกเวที
ขณะที่ นายจตุพร กล่าวว่า เหตุการณ์วันเสียงปืนแตกที่บ้านนาบัว จ.นครพนม เมื่อปี 2508 จนมาถึงการออกนโยบาย 66/2523 ใช้เวลา 15 ปี เช่นเดียวกับเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน ก็เป็นเวลา 15 ปีเช่นกัน และยังไม่แน่ใจว่าจะเข้าสู่ปีที่ 16 หรือไม่ เพราะเชื่อว่าสถานการณ์ต่อไปยังมีความขัดแย้งอยู่ หากยังไม่สามารถสร้างความปรองดองได้ ดังนั้น เราต้องไม่ตั้งคำถามว่าใครติดคุกมากกว่าใครหรือใครติดคุกน้อยกว่ากัน และในความเห็นต่างจะต้องไม่มีใครมาตาย ดังนั้น อะไรที่เป็นทางออกของประเทศต้องเร่งดำเนินการ และในฐานะที่ตนมีผลประโยชน์ก็จะไม่ขอพูดถึงเรื่องของการนิรโทษกรรม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี